เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566  นางสาวพลอยนภัส โจววณิชย์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ร่วมเวทีดีเบต "รัฐบาลใหม่" ไทยอยู่จุดไหนบนเวทีโลก? เพื่อถกวิสัยทัศน์นโยบายต่างประเทศร่วมกับพรรคการเมืองอีก 7 พรรค ในวันพุธที่ 26 เมษายน 2566 เวลา 13.00 - 16.00 น. ณ ห้อง ร.103 (ห้องทวี แรงขำ) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีนิสิต อาจารย์ ประชาชน และ สื่อมวลชน

ในงานนี้ นางสาวพลอยนภัส ได้แสดงจุดยืนถึงนโยบายการต่างประเทศของพรรคเพื่อชาติ คือยกระดับความสำคัญและศักดิ์ศรีของคนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ และจะไม่ยอมให้คนไทยต้องถูกดูถูกได้อีก โดยหัวใจของการทำงานคือการปกป้อง รักษา และเพิ่มพูน ผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักสำคัญ พรรคเพื่อชาติมองว่าที่ผ่านมานโยบายรัฐเหมือนมีโลก 2 ใบ นโยบายภายในประเทศ กับ นโยบายการต่างประเทศ มักจะไม่สอดคล้องกัน ทำให้งานด้านการต่างประเทศของไทยส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเป็นพิธีกรรม มากกว่าการเป็นนักรบเพื่อยกระดับผลประโยชน์ให้ประเทศไทย สำหรับพรรคเพื่อชาติแล้วนโยบายต่างประเทศต้องสอดคล้องและต่อยอดจากนโยบายในประเทศสู่ประชาคมโลก ผ่านนโยบาย 4 ด้านได้แก่ การเกษตร SME การท่องเที่ยว และ Creative Economy หรือเป็นการพัฒนาประเทศแบบ Inside-Out คือพัฒนาของดีและทรัพยากรที่เรามีและนำไปสู่สากลแบบมั่นคงและยั่งยืน

นางสาวพลอยนภัส   กล่าวเสริมว่า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำงานแบบ Outside-In คือ การสร้างความร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์ของประชาชนและประเทศในเวลาเดียวกัน เช่น ริเริ่มความร่วมมือระหว่างประเทศผู้ผลิตอาหาร หรือ ประเทศในเขตมรสุม เพื่อสร้างความเป็นผู้นำด้านการผลิตอาหารของโลก สร้างความร่วมมือเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการขายสินค้าอาหาร แทนการแข่งขันกันเองในหมู่ผู้ผลิตอาหาร และ จะชูให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านความมั่นคงทางอาหาร หรือเป็นเป็นครัวโลกอย่างแท้จริง

สำหรับในเรื่องของสิ่งแวดล้อม รวมถึงเรื่องฝุ่น พลอยนภัสกล่าวว่า ต่อให้ประเทศไทยเราจะทำดีเรื่องนี้แค่ไหน ก็แก้ปัญหาอย่างยั่งยืนไม่ได้ เพราะฝุ่นควันมันลอยในอากาศที่ไม่มีพรมแดนประเทศ พร้อมผลักดันเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติและวาระของโลก หากพรรคเพื่อชาติเป็นรัฐบาล จะนำทีมความร่วมมือระหว่างประเทศ จัดตั้ง Environmental Security Committee ต่อองค์การสหประชาชาติ ให้เป็นบทบาทและผลงานของประเทศไทย สร้างความร่วมมือและข้อตกลงในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ในเวทีโลก

ด้านความมั่นคง พรรคเพื่อชาติเน้นว่า ไทยจะต้องยึดมั่นในการเป็นสมาชิกที่มีคุณค่าของสหประชาชาติ และจะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการรักษาไว้ซึ่งสันติภาพของโลกตามหลักการและกฎบัตรขององค์การสหประชาชาติ ต้องแสดงจุดยืนชัดเจนที่ไม่สนับสนุนความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง เช่น ระหว่าง ยูเครน-รัสเซีย และ ความรุนแรงในประเทศเมียนมาร์  ในขณะเดียวกันเราก็ต้องแสวงหาโอกาสท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจต่างๆ ใช้ความเนื้อหอมจากภูมิรัฐศาสตร์ของไทยให้เป็นประโยชน์มากที่สุด โดยต้องไม่กลัวที่จะ “ฉวยโอกาส” เพราะเป็นการฉวยโอกาสเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย

นางสาวพลอยนภัส กล่าวเสริมว่า ในเรื่องของการทำให้พาสปอร์ตไทยเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศมากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่สิ่งที่สำคัญและยั่งยืนคือการทำให้ศักดิ์ศรีของคนไทย ของประเทศไทย ได้รับการยอมรับ หาเงินได้มากขึ้น มีฐานะดีขึ้น และมีความโดดเด่นมากขึ้นในเวทีโลก และการจะได้ฟรีวีซ่าหรือทำให้หนังสือเดินทางไทยสามารถเดินทางไปยังประเทศอื่นโดยไม่ต้องทำวีซ่านั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ดังนั้น ศักดิ์ศรีของคนไทย ความมั่นคงและผลประโยชน์ของคนไทยคือเรื่องหลักของวันนี้ เน้นย้ำว่าเราต้องเดินให้ถูกทางและเป็นผู้นำในเรื่องที่เรามีจุดแข็งอย่างแท้จริงให้ได้ แต่หัวใจสำคัญของคำว่าผลประโยชย์ของประเทศ และของคนไทย คือ หมายถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดแก้คนไทยทั่งประเทศ ไม่ใช่คนไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแบบที่ผ่านมา