วันเสาร์ ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2568 03:37 น.

การเมือง

"มาริษ"  มอบนโยบายเจรจา "เจบีซี"  ย้ำกรอบทวิภาคีมีประสิทธิภาพ ยันไทยไม่ไปศาลโลก

วันพุธ ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 18.28 น.

"มาริษ" รัฐมนตรีต่างประเทศ ย้ำใช้กลไกทวิภาคีอย่างเจบีซีในการเจรจากัมพูชา พร้อมยืนยันไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกในข้อพิพาทเขตแดน

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า วันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ฝ่ายไทย ครั้งที่ 2 โดยก่อนการประชุมตนได้มอบนโยบายในการเจรจาเพื่อให้ใช้เป็นจุดสำคัญในการพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาแก่นายประศาสน์ ประสาศน์วินิจฉัย ประธานเจบีซี 3 ประการ ดังนี้

ประการแรก ตนต้องการให้คณะผู้แทนโน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชาตระหนักว่าเราได้ลดความตึงเครียดในระดับหนึ่ง ขอขอบคุณฝ่ายทหารที่ได้เจรจาและลดการเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่าย โดยการขยายผลเป็นหน้าที่ของเจบีซี ตนต้องการเห็นบริเวณนี้เป็นพื้นที่สันติเพื่อให้เกิดสันติสุขอย่างยั่งยืนและถาวร ไม่มีการเผชิญหน้ากันอีก กลไกในการเจรจา 2 ฝ่ายมีทั้งเจบีซี, อาร์บีซี และจีบีซี ซึ่งมีประสิทธิภาพมากที่สุด ตนอยากเห็นการต่อยอดและขยายผลเพื่อให้พื้นที่บริเวณนั้นมีความสงบและสันติสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้นำของทั้งสองประเทศพูดคุยกันมาโดยเสมอ

ประการที่สอง ตนต้องการเห็นการเจรจาในวันที่ 14 มิถุนายน มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเส้นเขตแดนเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนร่วมกันได้

ประการที่สาม ตนได้ขอให้ประธานฯ ยืนยันในอธิปไตยของประเทศและจะไม่ยอมให้ไทยเสียดินแดนโดยเด็ดขาด โดยการแก้ไขปัญหาภายใต้กรอบองค์การสหประชาชาติ มีกลไกของการแก้ไขปัญหาหลายวิธี ซึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากที่สุดคือใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหา และตนขอยืนยันว่าไทยไม่ได้ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ 2503

นายมาริษกล่าวด้วยว่า ตั้งแต่เกิดปัญหากระทบกระทั่งในบริเวณชายแดน นางสาวแพทองธาร ชินวัตรได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมบูรณาการเพื่อหารือและใช้ท่าทีร่วมกันในการแก้ไขปัญหามาตั้งแต่ต้น ทำให้มาตรการทางการทูตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลไกทางการทูตส่งเสริมการเจรจาของฝ่ายทหารบรรลุผลได้เป็นอย่างดี จนสามารถลดการเผชิญหน้ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเจรจาจะมุ่งเน้นไปในการต่อยอด ขยายผลให้บริเวณที่ไม่ชัดเจนเพื่อพื้นที่ที่เรามีกิจกรรมร่วมกันอย่างสันติและไม่เกิดปัญหา

นายมาริษกล่าวว่า หลังจากการบูรณาการอย่างใกล้ชิดและใช้มาตรการทางการทูตซึ่งเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของสากลในทางเข้มข้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักปฏิบัติของสากลเหมือนกับที่นานาอารยประเทศใช้อย่างสมบูรณ์ ขอให้พี่น้องมั่นใจว่ากองทัพไทยมีศักยภาพให้การบริหารพื้นที่ การใช้นโยบายการต่างประเทศมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมมาตรการในการปฏิบัติ สอดรับและสามารถทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ และทำให้กลไกการใช้ปัญหาทวิภาคีหลายกลไกให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกัน

ต่อคำถามว่า ท่าทีของไทยเป็นอย่างไรหลังจากที่กัมพูชาขอให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวที่ศาลโลก นายมาริษตอบว่า การแก้ไขปัญหาระหว่างสองประเทศ แม้กระทั่งในกรอบของสหประชาชาติมีหลายกลไก เรายืนยันว่ากลไกที่มีประสิทธิภาพคือการแก้ไขปัญหาทวิภาคีดั่งที่เรามีทั้งเจบีซี, อาร์บีซี และจีบีซี ไม่ใช่การไปที่ศาลโลก

สำหรับคำถามว่า ที่ผ่านมากัมพูชามีการเดินสายกับนานาประเทศ ไทยได้ดำเนินอย่างไรบ้าง นายมาริษกล่าวว่า ไทยมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการชี้แจ้งจุดยืน รวมถึงสมาชิกอาเซียนซึ่งเป็นไปอย่างชัดเจน โดยไทยต้องการให้ประเทศอื่นๆ เข้าใจในข้อเท็จจริง และยืนยัดในการแก้ไขปัญหาใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ตนไม่ประสงค์ให้ประเทศอื่นหรือองค์กรอื่นได้ เป็น third party และขอยังคงยืนยันในการใช้กรอบทวิภาคีในการแก้ไขปัญหา

ต่อคำถามว่า จะมีการแจ้งผลการประชุมเจบีซีในวันที่ 14 หรือไม่ นายมาริษตอบว่า หลังจากการเจรจาคณะโฆษกให้ข้อมูลรายละเอียดผลลัพธ์ของการประชุม และจะใช้โอกาสการเจรจาครั้งนี้เพื่อขยายผลให้เกิด engagement กับสถานทูตต่างๆ มากยิ่งขึ้น การเจรจาจะเป็นในลักษณะทวิภาคีหรือสองฝ่าย โดยไม่จำเป็นต้องให้บุคคลที่สามเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา
 

หน้าแรก » การเมือง