เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 จากกรณีที่สำนักงานการบินพลเรือนกัมพูชาออกแถลงการณ์ เรื่องการปิดน่านฟ้ากัมพูชา เหนือพื้นที่ขัดแย้งในบริเวณที่มีการสู้รบกับไทย โดยให้เหตุผลว่า กองทัพไทยใช้อาวุธหนักที่พุ่งสูงถึงชั้นบรรยากาศ ซึ่งอาจเป็นภัยต่อความปลอดภัยของเที่ยวบินพาณิชย์ สั่งห้ามเครื่องบินทุกประเภทบินต่ำกว่า 1,200 เมตร ในพื้นที่ตั้งแต่สนามบินเก่าเสียมราฐไปจนถึงจังหวัดไพลิน โดยสายการบินพาณิชย์ทุกแห่งยังคงสามารถบินผ่านกัมพูชาได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องเปลี่ยนเส้นทางออกจากพื้นที่ซึ่งมีการสู้รบ 

ความคืบหน้าล่าสุดเฟซบุ๊กเพจ "CAAT - The Civil Aviation Authority of Thailand"  ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า "CAAT ย้ำเที่ยวบินไทย-กัมพูชายังปกติ พร้อมประสาน บวท. - AMC จับตาสถานการณ์ชายแดนใกล้ชิด หลังกัมพูชาออก NOTAM"

จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนประเทศไทยและกัมพูชาที่เกิดขึ้น โดยกัมพูชาได้ออกประกาศ NOTAM พื้นที่ห้วงอากาศอันตรายในการดูแลของประเทศกัมพูชา (Phnom Penh FIR) บริเวณชายแดนข้อพิพาทกับประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 และได้ปิดพื้นที่บางส่วนที่มีการสถานการณ์ ต่อมาประเทศไทยได้ออกประกาศ NOTAM พื้นที่ห้วงอากาศอันตรายในพื้นที่ต่อเนื่องที่ได้รับผลกระทบในส่วนของประเทศไทย

โดยพลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กล่าวว่า CAAT ได้ดำเนินการประสานงานอย่างต่อเนื่องกับ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) และศูนย์บริหารจัดการห้วงอากาศ (AMC) ซึ่งมีผู้แทนกองทัพร่วมปฏิบัติงาน โดยการประกาศพื้นที่ดังกล่าวของกัมพูชาเป็นพื้นที่จำกัดไม่ส่งผลกระทบต่อการจราจรทางอากาศที่เดินทางออกจากประเทศไทย เนื่องจากสามารถใช้เส้นทางบินอื่นหลีกเลี่ยงได้ เที่ยวบินต่างๆ ที่จะเดินทางเข้าหรือออกประเทศไทยได้ตามปกติเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศจึงสามารถปฏิบัติการได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังไม่พบการยกเลิกเที่ยวบิน หรือความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญในสนามบินต่างๆ ของประเทศไทย

CAAT และ บวท. ได้มีการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเดินทางทางอากาศเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีความปลอดภัยสูงสุด โดยมีการประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงตลอดเวลาตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนไทยให้น้อยที่สุด

หากมีประเด็นข้อสงสัยประการใดขอให้ประชาชนที่จะเดินทางติดต่อประสานงานกับสายการบินที่จะเดินทางได้ในเบื้องต้น และถ้าหากต้องการเปลี่ยนแปลงการเดินทางใดๆ ขอให้ตรวจสอบตามข้อตกลงที่มีอยู่ และขอให้ตรวจสอบเอกสารการเดินทางให้เรียบร้อยก่อนการเดินทางเพื่อสามารถเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

"สนามบินอุบลฯ-บุรีรัมย์" เปิดบริการปกติ พร้อมรับเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชม. 
 
นายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ท่าอากาศยานอุบลราชธานี และท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ได้ปรับเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังด้านการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน และประสานการข่าวกับหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้ท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่ง อำนวยความสะดวกแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ และสนับสนุนบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนในทุกด้าน โดยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก

นายดนัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังภัยด้านความมั่นคงและภัยพิบัติจากน้ำท่วม โดยเปิดระบบ VDO Conference เชื่อมต่อระบบให้ใช้งาน และสามารถติดตามสถานการณ์ที่ท่าอากาศยานได้ตลอดเวลาจากส่วนกลาง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์เพื่อคอยรายงานสถานการณ์ตามข้อสั่งการของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ทั้งนี้ขอยืนยันว่าท่าอากาศยานอุบลราชธานี และท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ยังเปิดให้บริการตามปกติ โดยทั้ง 2 แห่ง มีความพร้อมทั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวก และเจ้าหน้าที่สำหรับให้บริการประชาชน

รวมทั้งเตรียมพร้อมรับเหตุฉุกเฉินตามแผนเผชิญเหตุ และแผนฉุกเฉินของสนามบิน ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ขอให้ผู้โดยสารเผื่อเวลาในการเดินทางมายังท่าอากาศยาน หากผู้โดยสารต้องการสอบถามรายละเอียดการเดินทางสามารถติดต่อได้ที่ท่าอากาศยานอุบลราชธานี หมายเลขโทรศัพท์ 0-4524-5612-3 และท่าอากาศยานบุรีรัมย์หมายเลขโทรศัพท์ 0-4466-6334.