วันอาทิตย์ ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2568 13:33 น.

การเมือง

 "เพื่อไทย" เปิดข้อมูล "ไทย–สหรัฐฯ" ดีลภาษีจบที่ 19% คนไทยยังต้องกังวลอะไรอยู่หรือไม่?

วันศุกร์ ที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 17.29 น.

 "เพื่อไทย" เปิดข้อมูล "ไทย–สหรัฐฯ" ดีลภาษีจบที่ 19% คนไทยยังต้องกังวลอะไรอยู่หรือไม่? ยืนยันไทยไม่เสียเปรียบ รักษาความสามารถด้านการแข่งขันได้ และนับเป็นโอกาสปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม  2568 พรรคเพื่อไทย เปิดเผยผ่านช่องทางสื่อสารออนไลน์ ภายหลังการเจรจาดีลภาษีกับสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ทำให้ปิดดีลการเจรจาภาษีนำเข้าต่างตอบแทนที่ยืดเยื้อมานานลงได้ ยืนยันว่าไทยไม่ได้เสียเปรียบ และยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจไว้ได้ และถือโอกาสนี้ปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น

โดยพรรคเพื่อไทย ระบุว่าการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ล่าสุดได้ข้อสรุปที่อัตราภาษี 19% ซึ่งถือว่า “ไม่เสียเปรียบ” เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในเอเชียที่ทำข้อตกลงในระดับใกล้เคียงกัน เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ 15%, ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ 19% และเวียดนามที่ 20%

โดยรายละเอียดคำอธิบาย พรรคเพื่อไทยให้ข้อมูลไว้ดังนี้ ... 

▪️ข้อเสนอหลักจากไทย : ไม่ได้เปิดตลาดจนเสียเปรียบ

ไทยเสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่าหมื่นรายการ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กว่า 64% ของรายการสินค้านั้นมีภาษี 0% อยู่แล้ว อีกทั้งข้อเสนอนี้อยู่ในระดับเดียวกับ FTA ที่ไทยทำไว้กับประเทศอื่นกว่า 18 กลุ่ม เท่ากับไทยไม่ได้เสียเพิ่ม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ แข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่นได้มากขึ้น 

สินค้าจำนวนมากที่ลดภาษีให้สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นผู้ผลิตและส่งออกสำคัญของโลกเลย ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงของไทย 

ไทยยังได้ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกลไกการค้าที่ล้าสมัย เช่น มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่ไม่จำเป็น ทำให้ภาคเอกชนไทย สามารถดำเนินการด้านการค้าระหว่างประเทศได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

▪️ลดภาษีนำเข้ายานยนต์จากสหรัฐฯ

แม้ไทยจะเปิดลดภาษีให้รถยนต์จากสหรัฐฯ แต่สัดส่วนการนำเข้านั้นมีมูลค่าต่ำมาก เพียงราว 40 ล้านดอลลาร์ต่อปี เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปสหรัฐฯ ที่สูงกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์

▪️เปิดตลาดเครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีขั้นสูง

ไทยยินดีเปิดตลาดเครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ และนวัตกรรมการรักษาขั้นสูงจากสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมนโยบาย “Medical Hub” ของประเทศ ถือเป็นการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างประโยชน์เชิงโครงสร้างในระยะยาว 

▪️ข้าวโพด : ลดต้นทุนอาหารสัตว์ ลดต้นทุนเกษตรไทย

ไทยต้องใช้ข้าวโพดกว่า 9–10 ล้านตัน/ปี แต่ผลิตได้เพียงครึ่งเดียว จึงจำเป็นต้องนำเข้า

ดีลนี้จะช่วยให้ไทยนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในราคาถูกลง ไม่ใช่เพิ่มปริมาณ แต่เปลี่ยนแหล่งที่มาซื้อเดิม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรโดยตรง และยังลดปัญหา PM2.5 จากการเผาไร่ข้าวโพดได้ทางอ้อม

ผลเชิงบวกจะตามมาทั้งระบบ เช่น เนื้อหมู ไก่ อาหารทะเลถูกลง ผู้บริโภคได้ประโยชน์ และอุตสาหกรรมอาหารไทยมีศักยภาพแข่งขันมากขึ้น

▪️เกษตรกรไทยได้เปรียบในตลาดสหรัฐฯ

สินค้าส่งออกหลัก เช่น ข้าวหอมมะลิ ที่ตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงกว่า 32,000 ล้านบาท และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย จะยังรักษาความได้เปรียบต่อไป ข้อตกลงใหม่นี้จึงช่วยเหลือครัวเรือนเกษตรกรกว่า 1 ล้านครัวเรือนได้โดยตรง

ผัก ผลไม้ ปลา กุ้ง และสินค้าเกษตรแปรรูปอื่นๆ ก็จะได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง และมีโอกาสขยายตลาดในสหรัฐฯ

▪️ธุรกิจ/แรงงานไทย ได้ประโยชน์

ปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่ารวมกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์/ปี สร้างงานกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง และมีผู้ประกอบการไทยที่ได้ประโยชน์กว่า 4,000 ราย (ส่วนใหญ่เป็น SME)

ดีลนี้จึงช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดสหรัฐฯ ทั้งการส่งออกและดึงดูดการลงทุนใหม่

▪️ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ

การค้ากับสหรัฐฯ คิดเป็นราว 10% ของ GDP ของไทย กระทรวงการคลังจึงปรับประมาณการ GDP ปี 2568 ขึ้นเล็กน้อย จาก 2.1% (เมื่อเมษายน) เป็น 2.2% (เมื่อกรกฎาคม) โดยรวมผลของดีลภาษีนี้เข้าไปแล้ว

ซึ่งข้อตกลงนี้จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว


สุดท้ายนี้ พรรคเพื่อไทยถือโอกาสนี้กล่าวขอบคุณ #ทีมไทยแลนด์ กับการทำงาน ความพยายาม และความทุ่มเทในงานเจรจาในห้วงเวลาเป็นเวลานานและท่ามกลางความกดดันแและยากจะควบคุม และภารกิจของทีมไทยแลนด์ที่ยังไม่สิ้นสุด ยังคงเดินหน้าทำงานและเจรจาต่อไป เพื่อให้ทุกๆ การเจรจาเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน
 

หน้าแรก » การเมือง