การเมือง
นักกฎหมายมหาชน "แจงยิบเห็นต่าง" เผยเหตุผลทางวิชาการ ปมศาลรัฐธรรมนูญสั่ง "พิเชษฐ์" พ้น ส.ส.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ดร.ณพลเดช มณีลังกา นักกฎหมายมหาชนอิสระ และ สว.สำรอง จ.เชียงราย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นเชิงวิชาการระบุ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในคดีสำคัญทางการเมืองศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในคดีประวัติศาสตร์ทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง โดยมีมติเสียงข้างมากสั่งให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง พ้นจากสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี จากกรณีที่ถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ว่าด้วยการห้ามมิให้ ส.ส. ส.ว. หรือกรรมาธิการ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณรายจ่ายไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม คดีดังกล่าวเริ่มต้นจากการที่นายภัณฑิล น่วมเจิม และคณะ ส.ส. รวม 121 คน ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพฤติกรรมของนายพิเชษฐ์ ที่ให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3 โครงการ ซึ่งปรากฏในร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 และ 2569 โดยศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) เห็นว่าการกระทำของนายพิเชษฐ์ในฐานะรองประธานสภาฯ ถือเป็นการมีส่วนในการเสนอหรือกระทำการใดๆ ในโครงการดังกล่าว และด้วยมติเสียงข้างมากอีกครั้ง (6 ต่อ 3) ชี้ขาดว่าการกระทำนั้นเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง อย่างชัดแจ้ง ส่งผลให้การเสนอโครงการที่เกี่ยวข้องเป็นอันสิ้นผล และ นำมาสู่บทลงโทษที่รุนแรงทางการเมืองดังกล่าว แม้ว่าตุลาการเสียงข้างน้อยจะแย้งว่าการกระทำของนายพิเชษฐ์เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองประธานสภาฯ มิใช่ในฐานะ ส.ส. นั้น
ด้วยความเคารพต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันทุกองค์กร แต่หากพิจารณาในมุมมองทางวิชาการด้านกฎหมายมหาชนแล้ว อาจมีประเด็นที่เห็นต่างและพึงพิจารณาได้ ที่อาจเห็นพ้องกับตุลากรศาสรัฐธรรมนูญข้างน้อยดังนี้ครับ
1. การตีความสถานะบุคคลที่ทับซ้อนระหว่าง "ผู้บริหารองค์กร" กับ "ผู้แทนปวงชน" หลักการสำคัญของมาตรา 144 คือการป้องกันมิให้ผู้แทนปวงชนในฐานะปัจเจกบุคคล ใช้อำนาจหน้าที่ไปแทรกแซงกระบวนการงบประมาณเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง แต่มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะพันธนาการผู้ดำรงตำแหน่งบริหารภายในองค์กรนิติบัญญัติมิให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้เลย ตำแหน่งรองประธานสภาฯ นั้น มีหมวกสองใบที่ต้องสวม ใบหนึ่งคือ ส.ส. ผู้แทนเขตเลือกตั้ง อีกใบหนึ่งคือผู้บริหารองค์กรนิติบัญญัติ การให้ความเห็นชอบคำของบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ เป็นการกระทำในหมวกใบที่สอง เพื่อความอยู่รอดและประสิทธิภาพขององค์กรโดยรวม การที่เสียงข้างมากตีความว่าการกระทำทางบริหารนี้เป็นการกระทำในฐานะ ส.ส. จึงเป็นการหลอมรวมสถานะทางกฎหมายที่แตกต่างกันให้เป็นเนื้อเดียวอย่างน่าเสียดาย เปรียบเสมือนการกล่าวว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่มีสิทธิ์อนุมัติงบซื้ออาวุธให้กองทัพ เพราะตนเองก็เป็นทหารคนหนึ่งซึ่งจะได้ใช้อาวุธนั้นเช่นกัน การตีความเช่นนี้ย่อมทำให้กลไกการบริหารต้องหยุดชะงัก
2. การขยายขอบเขตคำว่า "โดยทางอ้อม" จนไร้ซึ่งพรมแดน หลักความแน่นอนชัดเจนแห่งกฎหมาย (Principle of Legality and Certainty) ถือเป็นหัวใจของหลักนิติรัฐ การตีความกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรงต้องกระทำอย่างแคบและเคร่งครัด การที่ศาลขยายความคำว่า "มีส่วนโดยทางอ้อม" ให้ครอบคลุมถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามสายการบังคับบัญชาปกติ ย่อมก่อให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า "Chilling Effect" หรือการทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่ตามปกติวิสัย เพราะเกรงว่าจะถูกตีความว่าเป็นการก้าวก่ายงบประมาณไปเสียทั้งหมด คำวินิจฉัยนี้อาจเป็นดั่งการ "เขียนเสือให้วัวกลัว" คือการสร้างบรรทัดฐานที่น่าเกรงขามจนเกินเหตุ เพื่อปรามมิให้ ส.ส. เข้ามายุ่งเกี่ยวกับงบประมาณ แต่ผลข้างเคียงคือ "วัว" หรือ ส.ส. ที่ต้องทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการหรือตำแหน่งบริหารต่างๆ อาจไม่กล้าแม้แต่จะเสนอความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะเกรงว่าจะเป็นการกระทำ "โดยทางอ้อม" ที่มีโทษถึงขั้นสิ้นสมาชิกภาพ
3. การละเลย "เจตนาพิเศษ" อันเป็นแก่นแท้ของการทุจริตเชิงนโยบาย ปรัชญาเบื้องหลังของมาตรา 144 คือการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน การกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้จึงควรต้องประกอบด้วย "เจตนาพิเศษ" ที่จะเบียดบังงบประมาณแผ่นดินไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง หากปราศจากเจตนานี้แล้ว การกระทำนั้นย่อมเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ทางธุรการเท่านั้น การวินิจฉัยของศาลเสียงข้างมากกลับมุ่งเน้นเพียง "รูปแบบ" ของการกระทำ คือการลงนามให้ความเห็นชอบ โดยมิได้นำสืบหรือวินิจฉัยให้สิ้นสงสัยถึง "เนื้อหา" หรือเจตนาที่แท้จริงว่าผู้ถูกร้องจะได้ประโยชน์อันใดเป็นการส่วนตัวจากโครงการเหล่านั้นหรือไม่ การลงโทษโดยมิได้พิเคราะห์ถึงเจตนาพิเศษอันเป็นองค์ประกอบสำคัญ ก็ไม่ต่างอะไรจากการ "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" คือการมองเห็นการกระทำทางบริหารอันเป็นปกติธุระ (กงจักร) ว่าเป็นการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง (ดอกบัว) ซึ่งอาจนำไปสู่ความคลาดเคลื่อนในการอำนวยความยุติธรรมได้
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญ 2540 อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะความยึดโยงกับประชาชนที่ลดน้อยลง ทั้งในกระบวนการยกร่างและในที่มาขององค์กรอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งองค์ประกอบของตุลาการในปัจจุบันมีความยึดโยงกับฝ่ายบริหารและวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งหมด ทำให้เกิดคำถามถึงความเป็นกลางและความชอบธรรมทางการเมืองได้ง่าย กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจกลายเป็น "ดาบสองคม" ที่แม้จะธำรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ก็อาจทำลายดุลยภาพของระบอบประชาธิปไตยได้หากการตีความกฎหมายเป็นไปอย่างเคร่งครัดเกินกว่าเจตนารมณ์
จึงมีข้อเสนอเชิงหลักการว่า ควรมีการปฏิรูปกระบวนการวินิจฉัยชี้ขาด โดยแบ่งแยกอำนาจตามลักษณะของข้อพิพาทดังนี้
1) กรณีขัดต่อรัฐธรรมนูญ ควรจัดตั้ง "สถาบันพิทักษ์รัฐธรรมนูญ" ที่ประกอบด้วยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชนโดยตรง ทำหน้าที่ตีความและวินิจฉัยในเชิงหลักการ เพื่อแยกการเมืองออกจากการตัดสิน
2) กรณีขัดต่อจริยธรรม ควรเป็นอำนาจของรัฐสภาในการตรวจสอบและลงโทษกันเอง เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีความยึดโยงกับประชาชนโดยตรง และมาตรฐานทางจริยธรรมเป็นสิ่งที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจควรตัดสินผ่านผู้แทนของตน
3) กรณีประพฤติผิดทางอาญา หากการกระทำใดเข้าข่ายทุจริตหรือผิดกฎหมายอาญา ก็ควรส่งให้ศาลยุติธรรม (ศาลอาญา) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในกระบวนการพิจารณาคดีอาญาเป็นผู้ไต่สวนและตัดสิน เพื่อให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอาญาเดียวกันอย่างเท่าเทียมครับ
การแยกแยะเช่นนี้อาจทำให้หลักแห่งความยุติธรรมถูกใช้อย่างถูกที่ถูกทางและสร้างสมดุลให้แก่ระบอบประชาธิปไตยได้อย่างยั่งยืนครับ ส่วนประเด็นที่มีความคิดเห็นการยุบศาลรัฐธรรมนูญมามาตรกระทำด้วยกรณีพิเศษ ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การเมือง
Top 5 ข่าวการเมือง ![]()
- สว. ลงพื้นที่อุบลฯ มอบกำลังใจชาวบ้าน "กระสุนตก" หลังปะทะเดือดชายแดน 3 ส.ค. 2568
- "เอกนัฏ" ปิดโรงงานเถื่อนใช้ขยะพลาสติกจากบ่อขยะทำเม็ดพลาสติก ส่งขายบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์ 3 ส.ค. 2568
- แม่ทัพภาคที่ 2 ประชุม 20 ผู้ว่าฯอีสาน สั่งเข้มมาตรการกำจัดโดรน 3 ส.ค. 2568
- "ธีรรัตน์" เป็นผู้แทนคณะรัฐมนตรี ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ จ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว 3 ส.ค. 2568
- "วราวุธ" นำทีม พม. มอบกายอุปกรณ์ช่วยเหลือคนพิการจังหวัดร้อยเอ็ด โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 3 ส.ค. 2568
ข่าวในหมวดการเมือง ![]()
“ดร.นิยม” ร่วมไว้อาลัยอดีตนายอำเภอวาริชภูมิ แสดงความอาลัยแด่ครอบครัวผู้วายชนม์ 21:56 น.
- กองทัพบกยืนยัน "ไม่ได้ถอย" จากปราสาทตาควาย ชี้เป็นยุทธวิธีการรบ 21:15 น.
- กองทัพอากาศแจ้งพบโดรนลอบบินสำรวจฐานทัพ-หน่วยงานรัฐ เข้าข่าย "จารกรรม" โทษสูงสุดถึงประหาร 21:07 น.
- "วราวุธ" กำชับ ทีม ศรส.-พม.บุรีรัมย์ ช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวทหารเสียชีวิต อยู่กระต๊อบ ไม่มีน้ำ-ไฟฟ้าใช้ 20:25 น.
- "ดร.วราภัสร์" ปธ.กมธ.การพัฒนาสังคมฯ นำคณะลงพื้นที่ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนสุรินทร์ 20:00 น.