วันจันทร์ ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 13:33 น.

การเมือง

"มาริษ" พบหารือ "ทูตสหรัฐ"  ย้ำแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาแบบทวิภาคีที่มีอยู่

วันเสาร์ ที่ 02 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 17.10 น.

"มาริษ" พบหารือ "ทูตสหรัฐ"  ย้ำแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาแบบทวิภาคีที่มีอยู่ ทางด้านทูตไทยเดินสายหารือเบลเยี่ยม-อียู-ลักเซมเบิร์ก-นอร์เวย์ ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ขณะที่ผู้ประสานงานคณะทำงานสันติภาพโลก เปิดสาเหตุสงครามความขัดแย้งและข้อเสนอต่อรัฐบาลไทย  

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2025 เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ข่าวสารระบุว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พบหารือกับนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก เอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2025

ทั้งสองฝ่ายหารือถึงพัฒนาการเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา โดยรัฐมนตรี ได้ให้ข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดภายหลังการตกลงหยุดยิง รวมถึงย้ำท่าทีของไทยที่ต้องการเห็นการยุติการสู้รบและการแก้ไขปัญหาอย่างสันติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อให้สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชากลับสู่ปกติและไม่ให้มีการสูญเสียไปมากกว่านี้

ทั้งนี้ ไทยถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐกดดันโดยตรง ซึ่งเตือนว่าสหรัฐอาจไม่ทำข้อตกลงการค้ากับทั้งไทยและกัมพูชา หากทั้งสองประเทศยังคงสู้รบกันอยู่ จึงนำมาสู่การพยายามเจรจากันมากขึ้นจนสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงที่ประเทศมาเลเซียในวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ กรณีที่สื่อกัมพูชา เผยแพร่เอกสารกระทรวงกลาโหม พร้อมระบุ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย ได้ยอมรับคําร้องของกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาให้ตัวแทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกาและจีน เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ในการประชุมวิสามัญของคณะกรรมการทั่วไปชายแดน (GBC) ได้นั้น

แหล่งข่าวจากกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่า รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ยอมรับคำร้องขอของกระทรวงกลาโหมกัมพูชา จริง โดยให้ผู้สังเกตการณ์มาเฉพาะการประชุม GBC ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยที่มีผู้สังเกตการณ์จากสหรัฐอเมริกา และจีน เนื่องจากเป็นการเจรจาทวิภาคี ซึ่งเป็นกลไกปกติที่คุยกัน 2 ประเทศ แต่ในที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ มองว่าถ้าประเทศไทยปฏิเสธอาจถูกมองว่ามีลับลมคมใน จึงตัดสินใจยอมรับกับข้อเสนอนี้ของกัมพูชา

สำหรับการประชุม GBC จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม โดยวันที่ 4-6 สิงหาคม เป็นการประชุมของสำนักเลขาธิการ ในประเทศมาเลเซีย ตามข้อเสนอของฝ่ายไทยแทนการจัดในกรุงพนมเปญ เนื่องจากสถานการณ์ไม่ปกติ

ทูตไทยเดินสายหารือเบลเยี่ยม-อียู-ลักเซมเบิร์ก-นอร์เวย์ ชี้แจงเหตุการณ์ไทย-กัมพูชา 

นางกาญจนา ภัทรโชค เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม พร้อมด้วยนายอัสรอฟ ศาสนกุล และ น.ส.เยาวลักษณ์ สุทธิมนัส ที่ปรึกษา เข้าพบนายอันดรีส กริฟฟรอย (Andries Gryffroy) รองประธานวุฒิสภาเบลเยียม คนที่ 1 ในฐานะประธานกลุ่มมิตรภาพรัฐสภาเบลเยียม-ไทย รวมถึงยังได้เข้าพบนางเปาลา ปัมปาโลนี (Paola Pampaloni) รองอธิบดีกรมเอเชียและแปซิฟิก และนางเล-ลา เฟอร์นันเดซ สเตมบริดจ์ (Leila Fernandez-Stembridge) ผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระทรวงการต่างประเทศสหภาพยุโรป, นายแซม ไชร-เนอร์ (Sam Schreiner) อธิบดีกรมเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศลักเซมเบิร์ก และนางเบียร์กิท สตีเวนส์ (Birgit Stevens) รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเบลเยียม เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำว่าไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นความขัดแย้ง แต่จำเป็นต้องตอบโต้การโจมตีโดยกัมพูชาที่มีเป้าหมายต่อพลเรือน และสถานที่พลเรือน เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน ที่ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการก่อน ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 ก.ค.2568 โดยฝ่ายไทยมุ่งตอบโต้เฉพาะเป้าหมายทางการทหารเท่านั้น และปฏิบัติตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศและพันธกรณีอย่างเคร่งครัด พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นของไทย ในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ การใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหา และการเคารพต่อกฎหมายและหลักสากล รวมทั้งข้อตกลงหยุดยิงและกลไกการเจรจาหารือ

นางกาญจนา กล่าวอีกว่า ไทยไม่มีความมุ่งร้ายต่อประชาชนกัมพูชา และประสงค์กลับคืนสู่สันติภาพ และแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติ และยั่งยืน พร้อมยังได้ย้ำถึงปัญหาข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือบิดเบือนที่ปรากฏตามแหล่งต่าง ๆ ซึ่งจะยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ความเกลียดชังระหว่างกันให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก จึงขอให้ฝ่ายสหภาพยุโรป เบลเยียม และลักเซมเบิร์ก กลั่นกรองการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ จากหลายฝ่าย โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ พร้อมให้ข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ นางกาญจนา ยังได้ออกจดหมายจากเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ ลงวันที่ 27 ก.ค.2568 ตามเวลาท้องถิ่นของเบลเยียม ถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บรัสเซลส์ไทม์ (Brussels Times) เพื่อชี้แจงถึงการรายงานข่าวของบรัสเซลส์ไทม์ เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2568 เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีพาดหัวข่าวที่คาดเคลื่อนว่า “กัมพูชาเรียกร้องไทยหยุดยิงทันที” ว่า แม้กัมพูชาออกแถลงการณ์ดังกล่าว แต่การกระทำกลับไม่ตรงกับคำพูด เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีพื้นที่พลเรือนในประเทศไทยก่อน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนประชาชน โรงเรียน และโรงพยาบาล และในเช้าวันที่ออกจดหมายฉบับนี้ กองกำลังติดอาวุธของกัมพูชาได้ยิงปืนใหญ่เข้าใส่บ้านเรือนของประชาชน ในจ.สุรินทร์ของไทย ซึ่งจนปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และยังมีพลเรือนไทยราว 140,000 คน ต้องอพยพ มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบ 19 แห่ง โดย 11 แห่งต้องระงับบริการทั้งหมด และอีก 8 แห่งต้องระงับบริการบางส่วน ประเทศไทยขอประณามการกระทำของกัมพูชาอย่างถึงที่สุด ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการโจมตีเป้าหมายพลเรือนในทันที และเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ด้วย และไทยมีสิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ตามบทบัญญัติมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และได้ใช้ปฏิบัติการทางทหารอย่างจำกัด เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและความมั่นคงของดินแดน

นางกาญจนา ระบุในจดหมายด้วยว่า ใครก็ตามที่รู้จักประเทศไทย จะทราบว่าไทยเป็นประเทศที่รักสงบ และมีเมตตา พร้อมขอเรียกร้องอย่างแรงกล้าให้ประชาคมระหว่างประเทศ ศึกษาสถานการณ์นี้อย่างจริงจัง และช่วยกันหยุดกัมพูชาไม่ให้โจมตีพลเรือนอย่างไม่เลือกเป้าหมายอีกต่อไป โดยขอให้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์บรัสเซลส์ไทม์ตีพิมพ์จดหมายฉบับนี้ และแชร์ข้อมูลให้กับผู้ผ่านบรัสเซลส์ไทม์ได้รับทราบด้วย

นอกจากนี้ น.ส.นิธิวดี มานิตกุล เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ เข้าพบหารือกับนายแมททิส เราส์โตล (Mattis Raustol) รองอธิบดี Regional Department กระทรวงการต่างประเทศนอร์เวย์ เพื่อชี้แจง และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่กระทรวงการต่างประเทศนอร์เวย์ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมยังแจ้งด้วยว่า การที่มีสำนักข่าวนอร์เวย์ให้ข่าวบิดเบือนว่า ไทยเป็นผู้เปิดการโจมตีก่อนนั้น คนไทยในนอร์เวย์ไม่พอใจอย่างมาก ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศรักสงบ ไม่รุกรานประเทศอื่น ซึ่งการนำเสนอข่าวของสำนักข่าวในนอร์เวย์บางสำนักอาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนให้แก่ผู้ชมสถานเอกอัครราชทูตจึงได้ส่งข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อทำความเข้าใจกับสำนักข่าวต่าง ๆ ด้วยแล้ว

ขณะที่ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ได้ออกสารถึงประชาชนคนไทยในสาธารณรัฐเช็ก ขอความร่วมมือหากพบเห็นคลิป หรือข้อความที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่บิดเบือน ขอให้แจ้งสถานเอกอัครราชทูต พร้อมขอให้เชื่อมั่นสถานเอกอัครราชทูต และทีมประเทศไทย จะปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตย และรักษาผลประโยชน์ชาติเต็มความสามารถ.

 ผู้ประสานงานคณะทำงานสันติภาพโลก เปิดสาเหตุสงครามความขัดแย้งไทย-กัมพูชาและข้อเสนอต่อรัฐบาลไทย 
 
นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานคณะทำงานสันติภาพโลก (WorldPeople Peace Working Group,Thailand) และรักษาการเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึง สาเหตุของสงครามความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทำลายสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยาวนานระหว่างผู้นำรัฐบาลไทยกับกัมพูชา และทำให้ประชาชนพลเรือนไทยบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก น่าจะมีมูลเหตุความขัดแย้ง 4 ปัจจัย ดังนี้

1.การเปลี่ยนผ่านอำนาจในกัมพูชา ที่อดีตนายกฮุนเซ็น พยายามวางมือและส่งมอบต่อบุตรชายนายฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันที่ยังไม่มีบารมีมากพอ ท่ามกลางการแข่งกันช่วงชิงอำนาจภายในจากหลายฝ่าย รวมถึงพี่น้องสองคนที่เป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ และรัฐมนตรีกระทรวงราชการพลเรือน ขณะที่ฮุนเซ็นไปเป็นประธานพฤฒิสภา เพื่อเป็นพื้นที่รักษาอำนาจอิทธิพลทางการเมืองและเสถียรภาพของระบอบในระยะยาว

การนำปราสาทหินในเขตชายแดนที่กลายเป็นข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ยื่นเรื่องต่อศาลโลกเพื่อขอให้มีการพิจารณาชี้ขาดด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญแบบเก่า เป็นการสร้างพลังอำนาจทางการเมืองขึ้นใหม่โดยใช้ชาตินิยมเป็นเครื่องมือ และผลักดันให้บทบาทบุตรชายเป็นที่ยอมรับภายในกัมพูชา และเรื่องจะเดินหน้าได้ต้องมีความขัดแย้งทางอาวุธในพื้นที่พิพาทชายแดนเพื่อกดดันให้ไทยยอมเจรจาและกลับเข้าสู่การตัดสินของศาลโลก

2.ผลประโยชน์การจัดการพลังงานน้ำมันและก๊าชธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เรื่องนี้มีการคาดการตั้งแต่นายทักษิณ ชินวัตร ปาฐกถา Vision 2024 และรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วว่า อาจจะมีการก่อสงครามความขัดแย้งตามแนวชายแดน เพื่อนำไปสู่ข้อตกลงผลประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ทักษิณกล่าวในงาน Vision 2024 ว่าด้วยนโยบาย Entertainment Complex รวมทั้งการผลักดันเรื่องของการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ที่สามารถใช้โมเดลที่เคยทำกับมาเลเซีย เพราะในอีก 20 ปีข้างหน้าอาจไม่สามารถใช้ทรัพยากรได้อีกแล้ว ถ้าหากช้าจะเท่ากับทิ้งทรัพย์สินไว้ใต้ดิน หรืออาจจะใช้โมเดลของประเทศนอร์เวย์ เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งประเทศและลดค่าน้ำมันและค่าไฟลงได้

ขณะที่นางแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะจัดทำการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน ความสัมพันธ์ระหว่างชินวัตรกับฮุนเซนนั้น ไม่เพียงแต่เฉพาะในฐานะของผู้นำประเทศเท่านั้น แต่ยังมีความเกี่ยวดองกันฉันเครือญาติตั้งแต่รุ่นลูกไปถึงรุ่นหลาน ความสัมพันธ์เชิงธุรกิจการเมือง ผลประโยชน์สัมปทานในภูมิภาค การพึ่งพากัมพูชาเพื่อหลบหนีคดี รวมถึงเคยใช้กัมพูชาเป็นฐานเพื่อสั่นคลอนการเมืองในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ฮุนเซ็นเคยแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นเคยขอให้ส่งตัวทักษิณกลับมาดำเนินคดีแต่กัมพูชาปฏิเสธ เพราะเหตุใด นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ฝ่ายไทย ยังคงยืนยันที่จะใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เหมือนกับฝ่ายกัมพูชา ในการพิจารณาพื้นที่พิพาทชายแดนแม้จะมีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย ทั้งนี้ การส่งมอบพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อขุดสำรวจพลังงานขึ้นมาใช้ร่วมกันไม่มีความคืบหน้ามากว่า 2 ปีแล้ว แต่อาจบรรลุจากข้อตกลงการจัดการผลประโยชน์บนพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน

3.นโยบายการปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ได้ทำลายผลประโยชน์เครือข่ายในเมืองสแกมเมอร์อย่างรุนแรง เนื่องจากกัมพูชาเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมหลอกลวงออนไลน์และการค้ามนุษย์ระดับโลก ซึ่งสร้างรายได้มากกว่า 7 แสนล้านบาทต่อปี หรือกว่า 60% ของ GDP กัมพูชาที่เติบโตจากอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งผลประโยชน์เหล่านี้อาจเข้าสู่กระเป๋าของตระกูลฮุนเซ็นมหาศาล และถูกกล่าวหาว่ากลายเป็นกองทุนสีเทาที่หล่อเลี้ยงระบอบอำนาจนิยมและพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ในปัจจุบัน

การที่รัฐบาลไทยสั่งปิดด่านชายแดนที่มีคาสิโนและเมืองสแกมเมอร์ จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของอุตสาหกรรมดังกล่าว ซึ่งได้รับผลกระทบพัวพันอย่างกว้างขวางและซับซ้อนต่อผู้นำทางการเมือง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ และนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจสีเทาดังกล่าว โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ อุตสาหกรรมคาสิโนในกัมพูชาและแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ทำหน้าที่เป็นระบบฟอกเงินขนาดใหญ่ โดยใช้คริปโทเคอร์เรนซี การพนันออนไลน์และธนาคารนอกระบบ รัฐบาลฮุนเซ็นจึงก่อสงครามเพื่อไม่ต้องการให้มีการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของตนเอง

4.การดำเนินนโยบายเปิดคาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งตระกูลฮุนเซ็นควรได้ประโยชน์จากนโยบายนี้บ้าง เนื่องจากปัจจุบันมีคาสิโนกว่า 150 แห่งกระจายตามแนวชายแดนและภายในกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลชินวัตรต้องการผลักดันกฎหมายออกมาให้ได้ เบื้องต้นคาดว่าจะมี Entertainment Complex อย่างน้อย 5 แห่งในกรุงเทพ พัทยา ภูเก็ตและเชียงใหม่ แต่นโยบายนี้ต่อมาไม่มีฮุนเซ็นอยู่ในสมการ การเปิดคาสิโนเสรีในประเทศไทยจะไม่ขัดผลประโยชน์ของฮุนเซ็นหากให้เขาเข้าร่วมด้วย หรือได้รับผลประโยชน์ในคาสิโนสักแห่ง แต่มีรายงานว่าผู้มีอำนาจในรัฐบาลไทยไม่ต้องการนำฮุนเซ็นเข้าร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ดังกล่าว ตามรายชื่อที่คาดว่ามีการเชิญมาลงทุนทำคาสิโนขนาดใหญ่แล้ว อาทิ กลุ่มทุนใหญ่มาเก๊า Melco Resorts & Entertainment ของนายลอว์เรนซ์ โฮ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ SingHaiyi ของนายกอร์ดอน ถัง มหาเศรษฐีชาวจีนที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ ตือ คอสโม่ หรือนายสมบูรณ์ สุขเจริญไกรศรี ที่ขายคาสิโนที่ปอยเปตเตรียมย้ายเข้ามาทำในไทย สารวัตรซัว พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล เจ้าพ่อคาสิโนออนไลน์ หุ้นส่วน Diamond Crown ในพนมเปญและเมืองไพลิน รวมถึงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Las Vegas Sands Corporation (LVS) จากลาสเวกัสที่มีแผนจะลงทุนในประเทศไทยผ่าน Sands China

ผลกระทบของไทยในภูมิรัฐศาสตร์โลกใหม่ จากสงครามความขัดแย้งไทย-กัมพูชารอบใหม่

1.ภาวะ Dilemma ของจีนต่อนโยบายกัมพูชาและประเทศไทย ทูตทหารไทยพบกองทัพจีนในปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ณ กรุงปักกิ่ง เพื่อรายงานข้อเท็จจริงและหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ พร้อมส่งมอบเอกสารรายงาน The Royal Thai Army Reports a Clash Incident on Thailand - Cambodia border ให้กับฝ่ายจีนอย่างเป็นทางการ โดยจีนยืนยันว่านับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จีนไม่เคยสนับสนุนยุทโธปกรณ์ใดๆ ให้แก่กัมพูชา

รัฐบาลจีนต้องการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเด็ดขาด ซึ่งหลอกลวงชาวจีนไปจำนวนมากและเป็นผู้เสียหายกลุ่มใหญ่ที่สุดจากอาชญากรรมไซเบอร์ดังกล่าว ภายหลังกดดันพม่าและปราบปรามเมืองสแกมเมอร์ที่เมืองเมียวดี-แม่สอดได้แล้ว จีนได้กดดันให้รัฐบาลไทยปราบปรามกลุ่มจีนเทาและเจ้าหน้าที่รัฐไทยระดับสูงที่รับส่วยหรือร่วมขบวนการอย่างจริงจัง แต่ต้องผิดหวังเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนจีนต้องมีนโยบายห้ามทัวร์จีนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย

ขณะที่จีนต้องการปราบปรามขบวนการจีนเทาในกัมพูชาที่ขยายอิทธิพลเหนือรัฐ คู่ขนานไปกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลฮุนเซ็น ล้วนเป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้านนโยบายความมั่นคง (Security Dilemma) ของจีน ซึ่งใกล้ชิดทางทหารกับกัมพูชามาตั้งแต่ปี 2560 ภายหลังกัมพูชาหยุดซ้อมรบกับสหรัฐและหันมาญาติดีกับจีนแทน ทำให้จีนเข้าไปลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หลายรายการและได้รับอนุญาตให้กองทัพเรือของจีนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) บนชายฝั่งอ่าวไทยในจังหวัดพระสีหนุเป็นเวลา 30 ปี เพื่อคานอำนาจกับสหรัฐในคาบสมุทรอินเดีย

ขณะที่เครือข่ายจีนเทาของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวจีนในกัมพูชา หัวหน้าแก๊งฝูเจี้ยนผู้ก่อตั้ง Prince Group ได้รับสัญชาติกัมพูชา และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุนเซ็น

2.การเข้ามาของสหรัฐอเมริกาในยุทธศาสตร์ความมั่นคงอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Security Strategy) เพื่อต่อต้านหรือปิดล้อมจีน โดยได้ยกระดับนโยบายดังกล่าวไปเป็นแบบเสรีและเปิดกว้าง (Free and Open Indo-Pacific, FOIP) ในรัฐบาลทรัมป์

การเจรจาขอลดภาษีตอบโต้ของสหรัฐนั้นมีการพยายามขอให้ไทยอนุญาตให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพเรือที่จังหวัดพังงาเพื่อคานอำนาจกับจีน ซึ่งอาจผิดข้อตกลงของอาเซียน ทำให้มีการเปลี่ยนเป็นการให้เช่าฐานทัพเรือทับละมุแทนเพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ซึ่งไทยและสหรัฐมีข้อตกลงความร่วมมือด้านการทหารอยู่แล้วเนื่องจากไทยเป็นพันธมิตรพิเศษนอกนาโต้และมีการซ้อมรบระหว่างทหารไทย-สหรัฐ-สิงคโปร์ อย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังสหรัฐดำเนินคดีและมีมาตรการคว่ำบาตรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคาสิโนและเมืองสแกมเมอร์ในกัมพูชา สหรัฐระบุว่า Huione Group ในกัมพูชาเป็นฐานการฟอกเงินกว่า 140,000 ล้านบาทของขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์ผ่านธุรกิจคาสิโน ทำให้รัฐบาลฮุนเซ็นดิ้นรนอย่างยิ่งที่จะหันหน้าเข้าหาสหรัฐในรอบใหม่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเองไม่ให้ถูกทำลาย โดยส่งผู้แทนกองทัพไปฮาวายโดยความหมายคือต้องการเข้าหาประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อขอไม่ให้ปราบทุนสีเทาในกัมพูชาจึงไม่แปลกที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้การเจรจาภาษีเป็นเงื่อนไขในการสร้างอิทธิพล จากสงครามความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย

1.ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามการแทรกแซงจากต่างชาติ (Foreign Information Manipulation) แม้กระทั่งจากกัมพูชา ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เปิดโอกาสให้สายลับอิทธิพลของต่างชาติ ทำงานอย่างเป็นระบบด้วยการปล่อยข่าวปลอม (Fake News) ปั่นกระแสสร้างเรื่องราวให้เป็นในทิศทางที่ต้องการ การแทรกแซงผ่านการใช้ Social Media เป็นเครื่องมือ ท่ามกลางความวุ่นวายของสถานการณ์และความเชื่อมั่นในรัฐบาลที่ลดน้อยลง ทำให้ไทยอยู่ในฐานะตั้งรับในเกมการเมืองระหว่างประเทศการเจรจาของนายกรัฐมนตรีไทยกับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ถูกเปิดเผยขึ้น ทำให้เกิดปัญหาความชอบธรรมทางการเมืองในวิกฤตการณ์ปัจจุบันที่ผูกพันกับผลประโยชน์ประเทศชาติ ซึ่งไม่สามารถเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวไปแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ของชาติได้ การกระทำของฮุนเซ็นจึงเข้าข่ายการแทรกแซงจากต่างชาติ (Foreign Interference) อย่างชัดเจน

โจทย์สำคัญในปัจจุบันคือ ทำอย่างไรไม่ให้ผู้นำรัฐบาลไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮุนเซ็นที่พยายามแทรกแซงการเมืองไทยและใช้เป็นเงื่อนไขในการต่อรองอำนาจ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของพรรคการเมืองและสมาชิกรัฐสภาไทยตามระบอบประชาธิปไตยที่ควรหาทางออกร่วมกันเพื่อชาติบ้านเมืองและสร้างรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ

2.รัฐบาลไทย กระทรวงการต่างประเทศ หน่วยความมั่นคง กองทัพและหน่วยข่าวกรอง ควรให้ความสำคัญกับสมรภูมิออนไลน์ การปฏิบัติการข่าวสารและภัยการแทรกแซงจากต่างชาติ ที่มีความรุนแรงมากกว่าการสู้รบด้วยกระสุนปืนเหมือนในอดีต เพราะสงครามยุคใหม่ไม่ได้มีแค่การรบกันด้วยอาวุธ แต่เป็นสงครามข้อมูลข่าวสารในรูปแบบต่างๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้นด้วย

รัฐบาลจะต้องตั้ง War Room เพื่อรับมือสงครามข่าวสารเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ปล่อยให้ข่าวลือได้ทำงานดังที่พบว่ามีการโจมตีทางไซเบอร์จากผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจากกัมพูชามายังสื่อไทยจำนวนมากอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง รัฐบาลต้องระดม Team Thailand เข้ามาช่วยกันทั้งภาคเอกชน ภาควิชาการ และสื่อมวลชน เพราะภาวะสงครามครั้งนี้อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้น ประเทศไทยอาจจะเจอกับรสงครามผสมผสาน หรือ Hybrid Warfare ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

3.รัฐบาลไทยควรต้องตั้งคณะทำงานทางยุทธศาสตร์และเสนาธิการร่วมจากผู้เชี่ยวชาญจากหลายฝ่าย โดยมีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงนั่งเป็นหัวหน้าคณะทำงาน เพื่อทำงานเชิงรุกและใช้การทูตไทยที่เข้มแข็งให้เป็นประโยชน์ เพื่อประสานความร่วมมือกับนานาชาติ รวมถึงหน่วยงานและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และยืนยันจุดยืนประเทศไทยในการเมืองระหว่างประเทศว่า ไทยยืนหยัดในสันติภาพและการแก้ปัญหาโดยการเจรจา การที่กัมพูชายิงปะทะและใช้กับระเบิดในพื้นที่ชายแดนไทยโดยไม่มีการยั่วยุ การโจมตีของกัมพูชาและการวางทุนระเบิดสังหารบุคคลเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและบูรณภาพแห่งดินแดนไทย การโจมตีพลเรือนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ถือเป็นความผิดอาชญากรรมสงคราม (War Crime) จะต้องขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC.)

4.นอกจากรัฐบาลฮุนเซ็นต้องการก่อสงครามเพื่อนำไปสู่เจรจาพื้นที่ทับซ้อนในคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) แล้ว ยังหวังผลต่อการเมืองภายในและการเมืองระหว่างประเทศด้วย ตามสุภาษิตที่ว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” และสำหรับการนำ 3 ประสาทขึ้นพิจารณาในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) อาจเป็นเพียงผลพลอยได้ แต่สาเหตุหลักน่าจะมาจากการปกป้องผลประโยชน์ภายในเพื่อไม่ต้องการให้มีการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ ธุรกิจคาสิโนออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติที่ทั้งสหรัฐและจีนกำลังมีเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งหากรัฐบาลไทยเข้าร่วมการปราบปรามทุนสีเทาอย่างจริงจังในเรื่องนี้โดยไม่ไว้หน้าใครที่เข้าไปข้องเกี่ยวหรือรับส่วยจากขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ เท่ากับการปราบปรามระบอบเผด็จการฮุนเซ็นเพื่อยุติสงครามไปในตัว เรื่องนี้ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยประสานความร่วมมือจากสหรัฐและจีน เพื่อปราบขบวนการทุนสีเทาอย่างจริงจัง ซึ่งหากต้องมีการปะทะกันก็จำเป็นเพราะถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ที่ส่งผลกระทบต่อคนทั่วโลกดูเหมือนว่ารัฐบาลฮุนเซ็นพยายามทำให้การสู้รบครั้งนี้รุนแรง เพื่อไม่ให้มีการปราบปรามทุนสีเทาที่เป็นแหล่งรายได้ของกัมพูชา ซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับเรื่องอยากได้ดินแดนเพิ่มเติมเลย
 

หน้าแรก » การเมือง