เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568   พรรคไทยสร้างไทย จัดงานเสวนาทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ภายใต้หัวข้อ “เศรษฐกิจไทยจะรอดได้อย่างไร” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญและนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำร่วมวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ ท่ามกลางความสนใจจากทั้งแวดวงการเมือง ธุรกิจ และประชาชนที่เข้าร่วมกว่า 100 คน

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของเวทีคือการบรรยายพิเศษโดย นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ซึ่งชี้ว่า ประเทศไทยติดอยู่ใน “กับดัก 20 ปี” ของภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน อันเกิดจากโครงสร้างทางสถาบัน (Institutional Factors) ที่ด้อยคุณภาพ ขัดขวางการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

“เศรษฐกิจไทยโตช้าลงตลอด 20 ปี ทั้งที่โลกมีโอกาส ประเทศไทยกลับพลาดโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง” – นายบรรยง พงษ์พานิช

เศรษฐกิจโลกเปลี่ยน แต่ไทยยังไม่ปรับตัว
นายบรรยงกล่าวถึงการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่เคยก้าวกระโดดในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน เช่น การเกิดรัฐชาติ การพัฒนาประชาธิปไตย การถือกำเนิดของเศรษฐศาสตร์ และการสร้างตลาดการเงินสมัยใหม่ ขณะที่ไทยกลับประสบภาวะ “โตต่ำ-ติดลบ” มาอย่างต่อเนื่อง

เขายังชี้ถึงบทเรียนจาก จีน ที่เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1979 เปลี่ยนจากระบบสังคมนิยมแบบรวมศูนย์ มาเป็นระบบตลาด ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ แม้ในเวลานั้น GDP ต่อหัวของจีนยังต่ำกว่าไทยหลายเท่า แต่วันนี้กลับแซงหน้าไทยไปไกล

เติบโตต่ำ เพราะสถาบันอ่อนแอ
ข้อมูลจากดัชนีต่างประเทศ เช่น ดัชนีธรรมาภิบาล นิติธรรม และการควบคุมคอร์รัปชัน ชี้ว่าไทยอยู่ในอันดับต่ำกว่าหลายประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย ซึ่งแสดงถึงปัญหาโครงสร้างที่ฝังรากลึก

นายบรรยงเสนอให้รัฐเพิ่มความโปร่งใส โดยยกตัวอย่างระบบ Government e-Marketplace (GeM) ของอินเดีย ที่เปิดเผยข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐต่อสาธารณะ ช่วยลดคอร์รัปชันและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ

COVID-19 ชี้ให้เห็นจุดอ่อน
แม้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดได้ในเวลาเพียงหนึ่งปี แต่ประเทศไทยกลับใช้เวลาถึง 4 ปีจึงกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด สะท้อนปัญหาภายในที่มากกว่าปัจจัยภายนอก ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง และความไม่พร้อมของระบบสถาบัน

เวทีโลกเปลี่ยน: การค้าเสรีกำลังถอยหลัง
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวถึงทิศทางใหม่ของการค้าโลก ซึ่งกำลังเปลี่ยนจากเสรีไปสู่การกีดกันมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ใช้นโยบายภาษีเพื่อรักษาดุลการค้าและเพิ่มรายได้รัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้า รวมถึงไทย

ไทยต้องเจรจาเพื่อคงสิทธิภาษีส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ 19% หากไม่สำเร็จอาจเผชิญภาษีสูงถึง 36% ซึ่งจะกระทบศักยภาพการส่งออกและการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน

ดร.พิพัฒน์ชี้ว่า ไทยต้อง ปรับตัวครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตรที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพ หรือภาคอุตสาหกรรมที่ต้องยกระดับการใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อรองรับ Supply Chain ใหม่

 โอกาสใหม่ภายใต้แรงกดดัน
เวทีเสวนาชี้ให้เห็นตรงกันว่า หากไทยต้องการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ จำเป็นต้อง ปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง โดยเฉพาะด้านความโปร่งใสและคุณภาพของสถาบัน ไม่เช่นนั้น ประเทศจะยังคงติดอยู่ใน “กับดัก 20 ปี” และพลาดโอกาสสำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่อีกครั้ง