วันศุกร์ ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568 02:14 น.

การเมือง

"เศรษฐา"  จี้กต.เดินหน้าเจรจากัมพูชากู้ทุ่นระเบิด – กองทัพบกเตรียมสิทธิ์ป้องกันตัว หลังทหารไทยบาดเจ็บจากเหตุละเมิดหยุดยิง

วันอังคาร ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 14.27 น.

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน X เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งเจรจากับกัมพูชา เพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ถูกลอบวางในพื้นที่ชายแดน ชี้ “คนวางเท่านั้นที่จะรู้ว่ากู้ตรงไหน” พร้อมเสนอให้ไทยมีบทบาทเชิงรุกบนเวทีโลก โดยรัฐมนตรีต่างประเทศควรเดินสายหารือและผลักดันประเด็นที่ยังไม่ตกลง

เหตุการณ์ล่าสุด เกิดเมื่อเวลา 09.10 น. สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 ลาดตระเวนห่างจากปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ราว 1 กิโลเมตร เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณข้อเท้าซ้าย ขณะนี้อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่า เหตุนี้เป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน สะท้อนพฤติกรรมคุกคามต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชา หากสถานการณ์บีบบังคับ ไทยอาจต้องใช้สิทธิ์ป้องกันตัวตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โต้กรณีสื่อกัมพูชานำภาพเจ้าหน้าที่ใช้หนังสติ๊กยิงเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อปลูกป่าไปบิดเบือนว่าเป็นการยิงทหาร ชี้เป็นกิจกรรมอนุรักษ์ป่าที่ดำเนินต่อเนื่องในไทย และเตือนให้ตรวจสอบข้อเท็จก่อนเผยแพร่ข้อมูล

 กองทัพบก ระบุด้วยว่า แม้จะเป็นช่วงของการหยุดยิง และรอการเจรจาของระดับ RBC และ GBC แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชายแดน และการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ทำให้ฝ่ายความมั่นคงและกองทัพ กำลังพิจารณาถึงการตอบโต้เท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วน กรณีการปฏิบัติการเชิงป้องกัน (Preemptive Defensive Action) ต่อภัยคุกคามจากกัมพูชา

1.ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา) ที่มีพฤติกรรมดังต่อไปนี้

• ส่งอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เข้ามาในน่านฟ้าไทยหลายครั้ง เพื่อสอดแนมและเก็บข้อมูลทางทหาร

• เสริมกำลังทางทหารอย่างต่อเนื่องบริเวณแนวชายแดน

• เผยแพร่ข้อมูลและถ้อยคำยั่วยุที่ขัดต่อบรรยากาศสันติภาพ

• ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่จัดขึ้น ณ ประเทศมาเลเซีย สถานการณ์ดังกล่าวนี้ มีลักษณะเป็นภัยคุกคามใกล้เกิดขึ้น (Imminent Threat) ที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย

2. กรอบกฎหมายที่ใช้ : ประเทศไทยใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตาม มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter, Article 51)

• ให้สิทธิรัฐใช้กำลังป้องกันตนเองเมื่อเกิดการโจมตีด้วยอาวุธ หรือมีภัยใกล้เกิดขึ้น

• การดำเนินการต้องมี ความจำเป็น (Necessity) และ ได้สัดส่วน (Proportionality)

• หลังการปฏิบัติ ไทย รายงานเหตุการณ์และเหตุผลต่อ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อความโปร่งใส

3. ลักษณะการปฏิบัติการ

• เป็น การโจมตีเชิงป้องกันแบบจำกัดขอบเขต (Limited Preemptive Strike)

• ใช้กำลังเท่าที่จำเป็น เพื่อทำลายขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นภัยคุกคามโดยตรง

• เลือกเป้าหมายที่เป็น โครงสร้างทางทหาร เท่านั้น

• หลีกเลี่ยงการโจมตีพื้นที่พลเรือนทุกกรณี

• ปฏิบัติการเป็นไปตาม กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL)

4. เพื่อ 1. ป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย 2. รักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ 3. ลดขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามในการเปิดฉากโจมตี 4. ส่งสัญญาณชัดเจนว่าประเทศไทยพร้อมปกป้องตนเอง แต่ไม่มุ่งรุกราน 5. การสื่อสารและความโปร่งใส

• ไทยมีหลักฐานยืนยันการละเมิดน่านฟ้าและการเสริมกำลัง (ภาพถ่ายดาวเทียม, ข้อมูลเรดาร์, ซากโดรน)

• เปิดโอกาสให้บุคคลที่สามและองค์กรระหว่างประเทศเข้าตรวจสอบ

• ประสานพันธมิตรและองค์การระหว่างประเทศให้รับทราบข้อเท็จจริง

• พร้อมให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนอย่างครบถ้วน เพื่อป้องกันข่าวลวงและการบิดเบือน

ดังนั้น 1. ประเทศไทยไม่ได้รุกราน แต่ใช้สิทธิตามมาตรา 51 เพื่อป้องกันตนเองจากภัยใกล้เกิดขึ้น 2. ปฏิบัติการมีความจำเป็นและได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามก่อนจะเกิดความเสียหายร้ายแรง 3. เคารพกฎหมายมนุษยธรรม หลีกเลี่ยงการกระทบต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ใช่ทางทหาร 4. พร้อมทำงานกับประชาคมโลก เพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค

หากถามว่า ไทยมีสิทธิตามกฎหมายในการโจมตีก่อนหรือไม่ ? คำตอบ คือ "มี" ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ในกรณีที่ภัยคุกคามใกล้เกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้

แล้วจะถือว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นการรุกรานหรือไม่ ? คำตอบ คือ "ไม่ใช่" เป็นการปฏิบัติการเชิงป้องกันอย่างจำกัด เป้าหมายคือโครงสร้างทางทหารที่คุกคามไทย โดยไทยเราได้แจ้งต่อองค์การสหประชาชาติแล้ว และไทยยินดีให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยบุคคลที่สาม โดยไทยพร้อมกลับสู่การเจรจาเสมอ เมื่อฝ่ายตรงข้ามหยุดการละเมิดและยอมเคารพข้อตกลงที่มีอยู่

มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ เข้ากับหลักการ Self-Defence และ Preemptive Strike รวมถึงเหตุผลว่าทำไมในกรณีของไทยกับกัมพูชา (สมมติฐานตามที่คุณให้ข้อมูล) จึงสามารถอธิบายความเหมาะสมเชิงกฎหมายและยุทธศาสตร์ได้

1. กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ: มาตรา 51 กฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) Nothing in the present Charter shall impair the inherent right of individual or collective self-defence if an armed attack occurs…

• ให้สิทธิรัฐใช้ Self-Defence เมื่อมีการ “armed attack” หรือการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้น

• การใช้กำลังต้อง จำกัดขอบเขต (Necessity & Proportionality) และรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)

• ปกติแล้ว Self-Defence จะเกิดหลังจากถูกโจมตีจริง (Reactive Self-Defence)

2. ช่องว่างกฎหมาย: Anticipatory / Preemptive Self-Defence แม้ UN Charter ไม่พูดตรง ๆ เรื่องการโจมตีก่อน แต่มีการตีความและถกเถียงในกรณีที่:

• ภัยคุกคามกำลังจะเกิดขึ้นทันที (Imminent Threat)

• รัฐต้องใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเองก่อนที่จะถูกโจมตีจริง

• หลักนี้สืบเนื่องจากกรณี Caroline Affair (1837) ที่วางเกณฑ์ 2 ข้อ : 1. Necessity: ภัยคุกคามใกล้เข้ามาและหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ 2. Proportionality: การตอบโต้ต้องไม่เกินกว่าที่จำเป็นเพื่อสกัดภัย

Reactive Self-Defence โต้ตอบหลังถูกโจมตี ถูกยิงขีปนาวุธแล้วตอบโต้

Anticipatory Self-Defence โจมตีก่อนเมื่อภัยคุกคามใกล้ถึงตัว พบหลักฐานชัดว่าข้าศึก กำลังยิงขีปนาวุธในไม่กี่นาที

Preemptive Strike-โจมตีก่อนเพื่อลดศักยภาพข้าศึกก่อนเกิดภัย ทำลายฐานบิน/คลังอาวุธก่อนที่เขาจะใช้โจมตี

3. เชื่อมกับสถานการณ์ไทย–กัมพูชา

• กัมพูชาส่งโดรนเข้ามาในน่านฟ้าไทย (เป็น armed reconnaissance และละเมิดอธิปไตย)

• เติมกำลังตลอดเวลา ตามแนวชายแดน

• ปล่อยข่าวยั่วยุ และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงในการประชุม GBC ที่มาเลเซีย

• ท่าทีชัดว่า เตรียมโจมตีหรือทำลายความมั่นคงของไทย

หากมองตามหลัก Preemptive Strike:

1. ภัยใกล้เกิดขึ้น (Imminence)

• การส่งโดรนเข้าสำรวจ + เสริมกำลัง คือการเตรียมความพร้อมโจมตี

• ไม่ใช่แค่ข่มขู่ แต่มีการ “ดำเนินการทางทหาร” บนผืนฟ้าไทยแล้ว

2. ความจำเป็น (Necessity)

• ถ้าปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามเสริมกำลังต่อ จะเสียเปรียบเชิงยุทธวิธี

• การรอให้เขาเปิดฉากโจมตี อาจทำให้สูญเสียทั้งกำลังพลและพื้นที่ยุทธศาสตร์

3. ความได้สัดส่วน (Proportionality)

• การโจมตีจำกัดขอบเขต เช่น ทำลายฐานปล่อยโดรน, คลังอาวุธ, จุดรวมกำลัง

• ไม่โจมตีพื้นที่พลเรือน

• แสดงเจตนาชัดว่าเป็น defensive action ไม่ใช่ war of aggression

แต่เป็น ดำเนินการตามมาตรา 51 เพื่อป้องกันตนเองจากภัยใกล้เกิดขึ้น

• แจ้ง UNSC และพันธมิตรทันทีหลังปฏิบัติการ

หน้าแรก » การเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง