วันอังคาร ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568 01:51 น.

การเมือง

"มาริษ" ยันไทยเดินหน้าฟ้องผู้นำกัมพูชา ยึดสมดุลการทูต-อธิปไตย-ผลประโยชน์ชาติ

วันอังคาร ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 11.04 น.

การฟ้องผู้นำกัมพูชาทั้งทางแพ่งและอาญา อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่รัฐบาลไทยยืนยันว่าทุกก้าวต้องอยู่บนหลักการปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของชาติ 

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่ไทยเตรียมฟ้องผู้นำกัมพูชา ทั้งทางแพ่งและอาญา ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทย ว่าเป็นไปตามที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงไปเมื่อวานนี้ ว่าต้องพิจารณาตามมติของที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดี

ส่วนที่กังวลว่าจะกระทบความสัมพันธ์การเจรจาในกรอบต่าง ๆ นั้น นายมาริษบอกว่า เป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการ ซึ่งเรื่องนี้มีทั้ง 2 ด้าน คือ กัมพูชาละเมิดสิทธิต่าง ๆ ของคนไทย และสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องดูรายละเอียด ว่าขณะนี้เป็นเพียงแค่หลักการว่าเราจะพิจารณาดำเนินการก็ต้องปล่อยให้มีการฟ้องร้อง และดูความเหมาะสมต่อไป

ส่วนที่นักวิชาการกังวลว่าการฟ้องร้องอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ ในฐานะที่เป็นคนกลางจะต้องทำอย่างไร  นายมาริษกล่าวว่า ผมเข้าใจ โดยวานนี้ในที่ประชุมได้มีการพูดคุยหลักการ หลังจากนี้ต้องคุยกันในรายละเอียดว่าจะดำเนินการขนาดไหน อย่างไร โดยต้องดูผลกระทบในการเจรจาต่าง ๆ รวมถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพด้วย โดยจะพยายามให้ทุกอย่างสมบูรณ์ที่สุด จึงต้องจัดสมดุลให้ดี

เมื่อถามว่า การที่จะใช้กฎหมายระหว่างประเทศในการดำเนินการกับกัมพูชา จะดำเนินการอย่างไร นายมาริษ กล่าวว่า เป็นไปตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ต้องดูรายละเอียดในการฟ้องของกฎหมายไทย ว่าจะฟ้องขนาดไหน อย่างไร ซึ่งต้องดูให้ดี ต้องพิจารณาโดยดูเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กัน และต้องทำทุกอย่างให้ราบรื่นที่สุดและดีที่สุด เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ

 ทั้งหมดเป็นไปตามที่นายภูมิธรรมพูดตลอดว่าต้องดูความเหมาะสม โดยคำนึงถึงมิติต่าง ๆ รวมทั้งการต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาอำนาจอธิปไตย และรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย รวมถึงผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศไทยด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์ความสมดุลในการฟ้องผู้นำกัมพูชาจากกรณีปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา: การทูต อธิปไตย ประโยชน์ชาติและคนไทย พบว่า 

กรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย ตลอดจนก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่าประเทศไทยควรใช้มาตรการทางกฎหมายและการทูตควบคู่กันอย่างไร เพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ โดยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวถึงแนวทางที่ไทยอาจดำเนินการฟ้องร้องผู้นำกัมพูชาทั้งทางแพ่งและอาญา โดยย้ำว่าทุกการตัดสินใจต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ การสร้างสมดุลระหว่างการทูต อธิปไตย และผลประโยชน์ของประชาชน

1. มิติด้านการทูต

การฟ้องร้องผู้นำประเทศเพื่อนบ้านย่อมส่งผลกระทบต่อบรรยากาศความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งในด้านการเจรจาเชิงการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในอนาคตอันใกล้ หากการดำเนินคดีไม่อยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวัง อาจกระทบความร่วมมือที่จำเป็นต่อการจัดการปัญหาชายแดนระยะยาว

ดังนั้น นโยบายของไทยจำเป็นต้องเดินคู่ขนาน คือการรักษาช่องทางการทูตเปิดไว้ ขณะเดียวกันก็แสดงออกถึงท่าทีที่จริงจังในการปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของชาติ

2. มิติด้านอธิปไตย

อธิปไตยถือเป็นหลักการสำคัญของรัฐชาติ และเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือสร้างความเสียหายแก่ประชาชนไทย การไม่ดำเนินการใด ๆ อาจถูกมองว่าไทยละเลยการปกป้องอธิปไตยของตนเอง

ดังที่นายมาริษกล่าวว่า การฟ้องร้องเป็นไปตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจครั้งนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ การปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของไทย โดยไม่ละทิ้งความรับผิดชอบของรัฐต่อประชาชน

3. มิติด้านประโยชน์ของชาติและคนไทย

ผลประโยชน์ของชาติไม่ได้จำกัดเพียงการปกป้องดินแดน แต่ยังรวมถึง ความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย โดยตรง การที่รัฐแสดงท่าทีพร้อมฟ้องร้องผู้นำกัมพูชาจึงเป็นสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

อย่างไรก็ดี การดำเนินการดังกล่าวต้องชั่งน้ำหนักกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง เช่น การค้าชายแดน การจ้างงาน และความร่วมมือด้านแรงงาน ซึ่งเป็นประโยชน์ของประชาชนไทยจำนวนมากเช่นกัน

4. การสร้างสมดุล: แนวทางและข้อเสนอ

จากกรณีดังกล่าว การบริหารจัดการควรตั้งอยู่บนหลักการ “สมดุล” กล่าวคือ

ด้านกฎหมาย: การฟ้องร้องควรอยู่บนฐานของหลักฐานที่ชัดเจน และใช้ช่องทางที่เป็นไปได้ทั้งตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ

ด้านการทูต: ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง โดยไม่ตัดช่องทางการเจรจา ทั้งในกรอบทวิภาคีและภูมิภาค

ด้านอธิปไตย: ไทยต้องรักษาเส้นแดงของตนเองไว้ คือการไม่ยอมให้การละเมิดซ้ำเกิดขึ้นโดยไม่ถูกตอบโต้

ด้านประโยชน์ของประชาชน: ต้องคำนึงถึงผลกระทบระยะยาว ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม

ดังนั้น กรณีการฟ้องผู้นำกัมพูชาถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนถึงความท้าทายของการดำเนินนโยบายต่างประเทศในโลกปัจจุบัน ไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่าง การทูต อธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติและประชาชน การตัดสินใจที่ขาดความสมดุลอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ แต่หากสามารถรักษาสมดุลได้ ก็จะเป็นโอกาสสำคัญในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ พร้อมทั้งปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนได้อย่างยั่งยืน
 

หน้าแรก » การเมือง