วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568 02:20 น.

การเมือง

"ทรัมป์" ร่วม "ประชุมสุดยอดอาเซียน" เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา "อนุทิน" กล่าวถ้อยแถลง

วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 11.25 น.

 “โดนัลด์ ทรัมป์” ร่วม “ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47” เป็นสักขีพยานพิธีลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย–กัมพูชา – “อนุทิน” ย้ำอาเซียนเข้มแข็ง พร้อมสร้างคุณค่าประชาชน

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกา เดินทางถึงประเทศมาเลเซียเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) โดยมีกำหนดจะร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา รวมถึงติดตามการเจรจาการค้าครั้งสำคัญ

ภารกิจแรกของทรัมป์ในการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) คือการกำกับดูแลข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทย ภายหลังที่เขามีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองประเทศยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดน ซึ่งยืดเยื้อนานห้าวันและคร่าชีวิตผู้คนไปหลายสิบรายเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ข้อตกลงฉบับใหม่นี้เป็นการต่อยอดจากการสงบศึกที่ลงนามไว้เมื่อสามเดือนก่อน หลังจากทรัมป์ได้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้นำของทั้งสองประเทศในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง มิฉะนั้นการเจรจาการค้าระหว่างแต่ละประเทศกับสหรัฐฯ อาจถูกระงับไว้ชั่วคราว

ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษอีกฝ่ายว่าเป็นผู้เริ่มต้นการสู้รบ ซึ่งยืดเยื้อนานห้าวันและมีการยิงจรวดและปืนใหญ่ใส่กัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 48 ราย และมีผู้พลัดถิ่นชั่วคราวประมาณ 300,000 คน ถือเป็นการปะทะกันที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของทั้งสองประเทศ

เมื่อทรัมป์เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ เขาได้รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดาโต๊ะ อันวาร์ อิบราฮิม พร้อมด้วยคณะนักแสดงระบำพื้นเมือง โดยทรัมป์ได้ร่วมเต้นรำบนพรมแดงกับนักแสดง ก่อนจะถือธงชาติสหรัฐฯ และธงชาติมาเลเซียอย่างละผืน แล้วขึ้นรถลีมูซีนเพื่อเดินทางเข้าสู่กรุงกัวลาลัมเปอร์พร้อมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

ติมอร์-เลสเต เข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนรายใหม่ล่าสุด

ติมอร์-เลสเต หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ติมอร์ตะวันออก” ได้รับการรับรองให้เป็นสมาชิกประเทศที่ 11 ของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการสานต่อวิสัยทัศน์ที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้วางไว้เกือบครึ่งศตวรรษก่อน ขณะที่ประเทศยังคงเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส

ประเทศติมอร์-เลสเต ซึ่งมีประชากรราว 1.4 ล้านคน นับเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในภูมิภาคเอเชีย โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเพียงเศษเสี้ยวของ GDP รวมของอาเซียนที่มีมูลค่ารวมประมาณ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนในครั้งนี้จึงคาดว่าจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นได้ในอนาคต

การเข้าร่วมอาเซียนของติมอร์-เลสเตเกิดขึ้นหลังจากรอคอยยาวนานถึง 14 ปี แม้การเป็นสมาชิกครั้งนี้อาจไม่ส่งผลเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถือเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ของประธานาธิบดีโชเซ รามอส-ฮอร์ตา และนายกรัฐมนตรีซานานา กุสเมา วีรบุรุษแห่งการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศ

"อนุทิน" กล่าวถ้อยแถลงในเวทีสุดยอดอาเซียน  

เวลา 11.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 ชม.) ณ Conference Hall 2 ชั้น 3 ศูนย์ประชุม Kuala Lumpur Convention Centre (KLCC) นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 แบบเต็มคณะ (Plenary)

โดยมีผู้นำและผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน เลขาธิการอาเซียน นายกรัฐมนตรีแคนาดา นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ประธานคณะมนตรียุโรป และกรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้าร่วม

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซียสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่น โดยการประชุมสุดยอดอาเซียนในครั้งนี้ ถือเป็นเวทีการประชุมพหุภาคีครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีภายหลังเข้ารับตำแหน่ง ตลอดจนแสดงความยินดีที่ได้ต้อนรับติมอร์-เลสเต เป็นสมาชิกอาเซียน โดยไทยพร้อมสนับสนุนติมอร์-เลสเต ในการดำเนินการตามกระบวนการเข้าสู่อาเซียนต่อไป

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำบทบาทของอาเซียนในการเป็นเสาหลักของนโยบายต่างประเทศของไทย โดยไทยพร้อมทำงานร่วมกับประเทศสมาชิก เพื่อผลักดันประโยชน์ที่แท้จริงมาสู่ประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่

1. การสร้างประชาคมอาเซียนที่มั่นคงปลอดภัยสำหรับประชาชน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนมากขึ้น นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน ทั้งอาชญากรรมทางไซเบอร์ การหลอกลวงทางออนไลน์ และการค้ามนุษย์ โดยไทยพร้อมทำงานกับประเทศสมาชิกอย่างใกล้ชิด

2. การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน ผ่านการบูรณาการทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่อาเซียนสามารถลงนามในความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement: ATIGA) ฉบับปรับปรุง และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–จีน ฉบับที่ 3

พร้อมหวังว่าอาเซียนจะสามารถลงนามในกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) ได้ภายในปีหน้า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการลงทุนในพลังงานสะอาด

3. การเสริมสร้างสันติภาพและเสถียรภาพ โดยยึดมั่นต่อระบบที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ เพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความมั่นคงของมนุษย์

พร้อมทั้งส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับภาคีภายนอก ภายใต้มุมมองอาเซียนต่ออินโด – แปซิฟิก (ASEAN Outlook on the Indo-Pacific: AOIP) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ ของอาเซียน เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมบทบาทของอาเซียนในเวทีโลก ในฐานะพลังแห่งสันติภาพ ความมั่งคั่ง และความก้าวหน้า

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีก ล่าวยินดีต่อความสำเร็จในการเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซียในปีนี้ และพร้อมสนับสนุนฟิลิปปินส์ในการเป็นประธานอาเซียนปีหน้า ซึ่งเป็นปีที่อาเซียนจะขับเคลื่อน “วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045” ร่วมกัน

ทั้งนี้ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 แบบเต็มคณะ ที่ประชุมได้ร่วมกันรับรองเอกสารการประชุมสุดยอดอาเซียน จำนวน 16 ฉบับ และมาเลเซียได้ออกแถลงการณ์ของประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 (Chairman’s Statement of the 47th ASEAN Summit) จำนวน 1 ฉบับ

หลังจากนั้น ผู้นำอาเซียนได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบสารแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ฉบับที่ 2

"อันวาร์" ขอบคุณไทย-กัมพูชา เดินหน้าสู่สันติภาพ  

นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ว่า เมื่อตอนที่มาเลเซียรับตำแหน่งประธานอาเซียนปีนี้นั้น ได้ตระหนักถึงภารกิจอันยิ่งใหญ่ เพราะ ‘ภาวะผู้นำ’ เป็นเรื่องของการเลือก การลำดับความสำคัญ และการวางแนวทางที่สอดคล้องตามความคาดหวังของประชาชน ซึ่งโจทย์สำคัญคือการฟื้นความหมายของอาเซียน

นายอันวาร์ กล่าวว่า ปี 2025 ถือเป็นปีที่ท้าทายของอาเซียนมากกว่าที่เคย เพราะโลกกำลังไร้เสถียรภาพ ระเบียบเก่าเกิดความไม่แน่นอน ขณะที่ระเบียบใหม่ก็ยังไม่ชัดเจน อาเซียนเห็นการแข่งขันและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาค กระแสเหล่านี้ได้ทดสอบทั้งเศรษฐกิจ และความแน่วแน่ของอาเซียนในการรักษาความเชื่อมั่นในความร่วมมือระหว่างกัน

มีช่วงหนึ่ง นายอันวาร์ได้กล่าวขอบคุณไทยและกัมพูชาที่เตรียมจะลงนามในเอกสารถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาฯ ในช่วงเวลาเที่ยงวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมชี้ว่า ‘การปรองดอง’ ไม่ใช่การยอมจำนน แต่คือการแสดง ‘ความกล้าหาญ’ และเมื่อเลือก ‘สันติภาพ’ แล้ว ย่อมสามารถเปลี่ยนโฉมอนาคตของประเทศได้

นอกจากนี้ยังเน้นย้ำความสำคัญของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2045 ที่รับรองที่มาเลเซียเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยวิสัยทัศน์นี้เรียกร้องให้อาเซียนเสริมสร้างความเป็นเอกภาพและบทบาทความเป็นแกนกลางของตน

และยังแสดงจุดยืนเกี่ยวกับการยึดหลักฉันทมติ 5 ข้อของอาเซียน ในการสร้างสันติภาพในเมียนมา เพื่อลดความรุนแรงและบรรเทาวิกฤตด้านมนุษยธรรม พร้อมย้ำว่าการจะทำให้เกิดสันติภาพได้นั้น เมียนมาต้องแก้ไขภายในประเทศเอง จึงจะเกิดความปรองดองที่ยั่งยืนได้

นายอันวาร์ยังชี้ให้เห็นความสำคัญของการประชุมสุดยอดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งการประชุมสุดยอดอาเซียน–คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) รวมถึงกรอบการประชุม RCEP ครั้งที่ 5 เพื่อขับเคลื่อนเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้บรรลุศักยภาพสูงสุด

พร้อมกันนี้ยังมีการกล่าวต้อนรับผู้นำบราซิลและแอฟริกาใต้ในฐานะแขกของประธาน โดยทั้งสองมีกำหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายความร่วมมือของอาเซียนกับกลุ่ม BRICS และ G20 ซึ่งตอกย้ำการแสวงหาโอกาสในตลาดประเทศคู่ค้าใหม่ๆ และการเป็นสะพานเชื่อมโยงสู่โลกใต้ (Global South)

หลังกล่าวจบ ผู้นำอาเซียนทั้งสิบประเทศได้ร่วมพิธีลงนามปฏิญญาการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์-เลสเตอย่างเป็นทางการ ถือเป็นสมาชิกลำดับที่ 11 ของอาเซียน หลังมีพิธีมอบภาคยานุวัติสารเข้าเป็นภาคีกฎบัตรอาเซียนไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างของเข้มแข็งของประชาคมเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในอนาคต
 

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง