วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568 03:06 น.

การเมือง

“พิชัย” จี้ “อนุทิน” เร่งปราบและยึดทรัพย์แก๊งค์สแกมเมอร์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นหนุนการส่งออกและการลงทุน 

วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 09.46 น.

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พาณิชย์ กล่าวว่า การส่งออกเดือนกันยายนที่เป็นเดือนสุดท้ายของการบริหารของรัฐบาลแพทองธาร การส่งออกพุ่งถึง 19% ทั้งที่การเจรจาภาษีทรัมป์จบไปด้วยดีแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการหักหน้านักวิจารณ์และนักวิชาการที่บอกว่าการส่งออกที่ขยายมากตั้งแต่ต้นปีมาจากการการเร่งส่งออกเพื่อหนีภาษีทรัมป์ทั้งหมด ทั้งที่ตนบอกมาตลอดว่าการส่งออกปีนี้จะเป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทยและน่าจะขยายตัวได้เกิน 10%  และการส่งออกที่ขยายมากน่าจะมาจากการเลี่ยงภาษีทรัมป์เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามามากขึ้น ความมั่นใจในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น และการเจรจาเขตการค้าเสรีที่สำเร็จเช่น การเจรจา FTA กับ EFTA (ส่งออกไปประเทศใน EFTA ขยายกว่า 100% ส่งออกไปสวิสขยายกว่า 400%)  ทำให้การส่งออกมีการขยายตัวอย่างมีพื้นฐานมั่นคง เพราะถ้าเป็นแค่การส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษีทรัมป์ป่านนี้คงลดลงมากแล้ว อีกทั้งตลอด 10 ปีก่อนหน้านี้การส่งออกขยายได้เฉลี่ยเพียงปีละ 1% กว่าเท่านั้น จะเร่งส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษีทรัมป์จะไม่สามารถทำให้ส่งออกพุ่งได้กว่า 13% แน่นอน และต่อมารัฐบาลเพื่อไทยก็ได้ประสพความสำเร็จในการเจรจาภาษีทรัมป์ที่ 19% ซึ่งทำให้การส่งออกของไทยยังจะขยายได้อีกอย่างต่อเนื่อง 

ดังนั้น จึงอยากให้นักวิชาการที่ออกมาวิจารณ์แบบที่ไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง ได้ทำความเข้าใจเสียใหม่ และ สนับสนุนให้มีการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหรกรรมสมัยใหม่ และการส่งออกให้มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยพัฒนาได้อย่างมั่นคง ไม่ใช่เป็นแค่นโยบายหาเสียงชั่วคราวแบบโครงการคนละครึ่ง ซึ่งจากการศึกษาประวัติย้อนหลัง โครงการคนละครึ่งที่ทำหลายครั้งในอดีต แม้จะเป็นโครงการที่ดีและช่วยเหลือลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับแทบจะไม่เพิ่มจีดีพีเลยหรือจะเพิ่มจีดีพีได้น้อยมาก  เพราะประชาชนจะใช้จ่ายเท่าเดิม เพียงแต่ประชาชนได้ลดค่าใช้จ่ายเท่านั้น ซึ่งจะวัดได้จากจีดีพีไตรมาสสุดท้ายที่เชื่อว่าน่าจะออกมาไม่ดีนัก หลังจากครึ่งปีแรกภายใต้การบริหารของรัฐบาลเพื่อไทยจีดีพียังขยายได้ถึง 3 % 

ทั้งนี้จึงอยากขอให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ได้รักษาระดับความเชื่อมั่นของต่างประเทศ เพื่อให้การลงทุนและการส่งออกยังขยายตัวอย่างมั่นคงเหมือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะการลงทุนส่งเสริมการลงทุนที่ขยายถึง 1.14 ล้านล้านบาทในปีที่แล้วและมีการลงทุนจริงเกือบทั้งหมดและครึ่งปีแรกของปี 68 มีการขอส่งเสริมการลงทุนแล้วถึง 1.05 ล้านล้านบาท แต่การลงทุนจริงยังไม่มากนักเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และอยากให้นายอนุทินสร้างความมั่นใจเพื่อให้มีการลงทุนจริงตามที่ได้มีการขอส่งเสริมการลงทุน และน่าจะต้องมีการลงทุนเข้ามาเพิ่มอีกโดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งการลงทุนที่เพิ่มขึ้นนี้จะทำให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะการลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในประเทศไทยระยะหลังจะลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่เพื่อการส่งออกเป็นหลัก 

ความมั่นใจของต่างประเทศในปัจจุบันน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องการปราบแก๊งค์ฟอกเงินคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์ ซึ่งรัฐบาลไทยยังดูเหมือนไม่ได้เร่งดำเนินการเท่าที่ควร ทั้งที่น่าจะต้องเร่งตรวจเส้นทางการเงินและเร่งยึดทรัพย์แก๊งค์ฟอกเงิน-สแกมเมอร์นี้ โดยประชาชนจำนวนมากเชื่อกันว่าน่าจะมีผู้มีอิทธิพลในรัฐบาลมีส่วนพัวพันกับอาชญกรรมนี้ ในขณะที่ประเทศอื่นยึดทรัพย์กันไปแล้ว เช่น การยึดทรัพย์ นายเฉิน จื้อ ของปริ้นซ์กรุ๊ปรายเดียว ยึดบิตคอยน์มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท และ น่าจะมีการยึดทรัพย์รายอื่นๆเพิ่มขึ้นอีก อีกทั้งน่าจะมีการเปิดเผยเครือข่ายผู้ร่วมกระทำผิดมากขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่า หากตรวจอย่างเข้มงวดจะต้องพบหลักฐานการเชื่อมโยงทางการเงินอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหากมีการใช้ “บิตคอยน์“ ตามข่าว ก็จะมี “บล็อกเชน“ ที่ไม่สามารถปฏิเสธหรือแก้ไขได้ ตามที่ได้มีการเปิดเผยกันแล้ว อีกทั้งสหรัฐเองที่มีลิสต์รายชื่อผู้ร่วมกระทำผิดอยู่แล้ว น่าจะยินดีรีบตรวจสอบให้เลย 

นอกจากนี้ ตามที่มีข่าวว่ามีการนำเงินจำนวนมาก เข้ามาซื้อหุ้นล็อตใหญ่ ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของไทยจำนวนเป็นพัน ๆ ล้านบาท  ก็น่าจะต้องอายัดทรัพย์ได้ทันที และให้ ก.ล.ต. เร่งตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งหากทำช้าหรือไม่ทำ โดยปล่อยให้ต่างประเทศเปิดเผยก่อน ประเทศไทยอาจเสียชื่อเสียงอย่างมากได้ว่ารัฐบาลไม่ปราบสแกมเมอร์อย่างจริงจังเพราะห่วงว่าจะต้องมีการลาออกของ ครม. กันเพิ่ม ซึ่งจะทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและประเทศไทยจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนและการส่งออกได้ 

กว่าประเทศไทยจะกลับมาขยายการส่งออกใน 12 เดือนได้สูงกว่า 13 % และ มีการลงทุนเข้ามาถึง 1.14 ล้านล้านบาท และการลงทุนยังขยายเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ต้องมาจากการสร้างความมั่นใจจากต่างประเทศให้กลับมา ซึ่งเป็นผลงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เห็นได้ชัดและจับต้องได้ ซึ่งหากระดับการขยายตัวของการลงทุนและการส่งออกยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่กี่ปี เศรษฐกิจไทยที่ซบเซามาเป็นสิบปีจะกลับมาฟื้นได้ และประเทศไทยจะสามารถกลับไปแข่งขันกับประเทศเวียดนามได้อีกครั้ง เพราะที่เวียดนามแซงไทยได้ก็เพราะการลงทุนและการส่งออกที่ขยายตัวมากมาตลอดหลายปีที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ 

นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องชี้แจงเรื่องแร่หายาก (Rare Earth) ที่ประเทศไทยไปทำข้อตกลงกับสหรัฐที่มาเลเซีย ให้กับประชาชนได้เข้าใจอย่างชัดเจน ทั้งนี้หากเป็นไปได้ ไทยน่าจะสามารถต่อรองเจรจาให้ลดภาษี Recoprocal Tariff ของสหรัฐให้ลดลงมาได้ก็จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยอย่างมาก

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง