วันพุธ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 03:49 น.

การเมือง

"มณีรัฐ"  ถกวิกฤตมลพิษลุ่มน้ำข้ามแดน ชี้เหมืองต้นน้ำกระทบแม่น้ำกก–โขง เสนอ 5 มาตรการเชิงนวัตกรรมสู่ความร่วมมือระดับภูมิภาค

วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 19.10 น.

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2568 น.ส.มณีรัฐ เขมะวงศ์ ประธานคณะทำงานพิจารณาศึกษาการจัดการมลพิษลุ่มน้ำข้ามแดนตามหลักธรรมาภิบาลและสิทธิมนุษยชน ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้ร่วมกับคณะอนุกรรมการด้านการวิจัยและพัฒนา เดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อประชุมและติดตามสถานการณ์ปัญหามลพิษลุ่มน้ำข้ามพรมแดน โดยมีการจัดประชุมเชิงวิชาการ ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

การลงพื้นที่ครั้งนี้สะท้อนความกังวลต่อสถานการณ์มลพิษในลุ่มน้ำชายแดนภาคเหนือ โดยเฉพาะแม่น้ำกก ซึ่งรับผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำและแร่ประเภทอื่นในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมีและโลหะหนักที่ไหลตามกระแสน้ำเข้าสู่ฝั่งประเทศไทย ก่อนเชื่อมต่อไปยังแม่น้ำโขง กระทบต่อระบบนิเวศ การเกษตร แหล่งน้ำอุปโภคบริโภค ตลอดจนสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภายในการประชุม มีการนำเสนอผลงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและลุ่มน้ำข้ามแดน ซึ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัญหามลพิษดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการภายในประเทศเพียงลำพัง แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ การใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์เป็นฐาน และการบูรณาการหลักสิทธิมนุษยชนเข้ากับนโยบายสิ่งแวดล้อม เพื่อคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำสะอาดของประชาชน

น.ส.มณีรัฐ ระบุว่า การแก้ไขปัญหามลพิษลุ่มน้ำข้ามแดน โดยเฉพาะกรณีแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ควรยึดหลัก “แก้ที่ต้นทาง ควบคู่ปลายน้ำ” พร้อมเสนอแนวคิดเชิงนวัตกรรมและมาตรการเชิงนโยบายเพื่อรับมือกับการปนเปื้อนที่อาจไหลลงสู่แม่น้ำโขงในอนาคต โดยสามารถสรุปเป็น 5 มาตรการสำคัญ ได้แก่

1. การจัดตั้ง กลไกตรวจวัดคุณภาพน้ำร่วมข้ามพรมแดน ใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะและดาวเทียม เพื่อติดตามสารปนเปื้อนแบบเรียลไทม์ และแบ่งปันข้อมูลระหว่างประเทศในลุ่มน้ำเดียวกันอย่างโปร่งใส

2. การผลักดัน ข้อตกลงความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระดับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ให้มีมาตรฐานร่วมในการควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ การปล่อยของเสีย และการฟื้นฟูลุ่มน้ำ โดยอาศัยกลไกทางการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศ

3. การพัฒนา นวัตกรรมบำบัดน้ำปนเปื้อนในพื้นที่ปลายน้ำ เช่น การใช้พืชน้ำดูดซับโลหะหนัก ไบโอชาร์ และระบบกรองธรรมชาติ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อชุมชนในระยะเร่งด่วน

4.การสร้าง ฐานข้อมูลวิจัยและหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน นำผลงานวิจัยมาใช้เป็นฐานในการเจรจา การฟ้องร้อง หรือการเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้ก่อมลพิษในระดับสากล

5. การส่งเสริม การมีส่วนร่วมของชุมชนลุ่มน้ำ ทั้งในด้านการเฝ้าระวัง การแจ้งเตือน และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการลุ่มน้ำอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ คณะทำงานยังได้ศึกษาดูงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการควบคุมมลพิษในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งให้การจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมของประเทศ สอดคล้องกับบริบทปัญหาข้ามพรมแดนที่ซับซ้อนมากขึ้น

การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญของวุฒิสภาในการเชื่อมโยงงานวิจัย นโยบาย และความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรับมือกับปัญหามลพิษลุ่มน้ำข้ามแดนอย่างเป็นระบบ และยกระดับการคุ้มครองคุณภาพชีวิตของประชาชนในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนในระยะยาว

หน้าแรก » การเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง