ประชาสัมพันธ์
กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เดินหน้าผลักดัน “คู่มือการทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรี”
วันศุกร์ ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563, 09.18 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เดินหน้าผลักดัน “คู่มือการทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรี”
โดยร่วมมือกับ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สสส. หวังสร้างโมเดลพื้นที่ปลอดภัยครอบคลุมทั่วประเทศไทย
กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว จัดทำ “คู่มือการทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรี” โดยร่วมมือกับ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มุ่งหวังสร้างโมเดลการทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรีและเด็กให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงความเหมาะสมและการนำไปปรับใช้ในบริบทของพื้นที่ วัฒนธรรม สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริง โดย “คู่มือการทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรี” กรมฯ ได้ร่วมทำการศึกษาถึงปัญหามาตั้งแต่ปี 2560 และได้นำร่องในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ กับชุมชนนำร่องถึงพื้นที่ปลอดภัยและได้ผลตอบรับที่ดี ซึ่งปีนี้พร้อมเดินหน้าขยายไปในทุกพื้นที่ในประเทศไทย
นางสาวกรรณนิกา เจริญลักษณ์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวว่า “คู่มือการทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรี” มีที่มาจากปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยที่ผ่านมา กรมฯ ได้ตระหนักถึงปัญหาด้านความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น จึงได้สนับสนุนและดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายอย่าง มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี ในการศึกษาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ทำให้เราทราบถึงปัญหาที่แตกต่างของแต่ละพื้นที่ รูปแบบของการถูกกระทำความรุนแรง ลักษณะของชุมชน โครงสร้างวัฒนธรรม ตลอดจนปัจจัยสิ่งเร้าต่างๆ ทำให้เราตกผลึกได้ว่า การจัดทำคู่มือการทำงาน เพื่อสร้างความตระหนักให้กับชุมชน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงคือสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้นำชุมชน คือ กระบอกเสียงสำคัญที่จะนำไปปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของพื้นที่ตามความเหมาะสม ดังนั้น “คู่มือการทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรี” จะถูกกระจายผ่าน สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทุกจังหวัด พร้อมการสร้างความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง จะเริ่มต้นที่จังหวัดอำนาจเจริญในปีหน้า
นางสาวกรรณนิกา กล่าวอีกว่า ปัญหาความรุนแรงในปัจจุบันไม่ได้ลดน้อยลง แต่แฝงไปด้วยการบ่มเพาะจากแนวคิด ค่านิยม หรือแม้กระทั้งคำพูดที่ก่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่งจะเห็นได้จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พบว่าสถิติของผู้กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัวในช่วงเดือน ต.ค. 2562 - เม.ย. 2563 มี 141 ราย แบ่งออกเป็นความรุนแรงทางร่างกาย ร้อยละ 87 ทางเพศ ร้อยละ 9 และทางจิตใจ ร้อยละ 4 ส่วนปัจจัยกระตุ้น ได้แก่ ยาเสพติด ร้อยละ 35 บันดาลโทสะ ร้อยละ 33 หึงหวง ร้อยละ 25 สุรา ร้อยละ 17 เท่ากับการล่วงละเมิดทางเพศ ร้อยละ 17 อาการจิตเภท ร้อยละ 9 และจากเกม ร้อยละ 2 ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ และกลุ่มในพื้นที่สังคมเมืองอย่างกรุงเทพฯ ตามลำดับ ส่วนสถิติความรุนแรงในครอบครัว ตั้งแต่ปี 2559 - ถึงเมษายน 2563 พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคิดเป็น 1,400 รายต่อปี หรือ 118 รายต่อเดือน เฉลี่ย 4 รายต่อวัน
“ปัญหาด้านความรุนแรงไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ ซึ่งผลที่เกิดขึ้น นอกจากก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งในครอบครัว สังคม ชุมชนแล้ว ในภาพใหญ่ของประเทศ ภาครัฐต้องสูญเสียงบประมาณในการแก้ไขปัญหาเป็นจำนวนมาก หากแต่ทุกคนร่วมมือกันลดปัญหา ให้ความสำคัญในเรื่องของความรุนแรง เชื่อว่าสังคมไทยจะน่าอยู่ พร้อมเดินหน้าสู่สังคมแห่งความปลอดภัยลดปัญหาด้านความรุนแรงได้อย่างแน่นอน" นางสาวกรรณนิกา กล่าวสรุป
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. กล่าวว่า จากรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC :United Nations Office on Drugs and Crime) พบว่ากว่า ร้อยละ 87 ของคดีการล่วงละเมิดทางเพศไม่เคยถูกรายงาน เพื่อหาผู้กระทำผิดหรือให้ทางการรับรู้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พบว่า ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 66 ภาคใต้ มีความรุนแรงในครอบครัวถึงร้อยละ 48.1 และกรุงเทพฯ พบความรุนแรงในครอบครัว น้อยที่สุด ร้อยละ 26 ซึ่งปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่ รายได้ของครอบครัว และการใช้สารเสพติด เช่น สุรา บุหรี่ ในการแก้ปัญหา สสส. สนับสนุนโครงการพัฒนาและยกระดับกลไกชุมชนและทีมสหวิชาชีพในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางสังคม ผ่านมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในการคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว เพื่อพัฒนากลไกการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่นำร่อง 4 ชุมชน จนเกิดรูปแบบการทำงานในการคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว โดยการเชื่อมร้อยกลไกระดับพื้นที่ให้มีคณะทำงานในการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งกลไกระดับชุมชน ระดับเครือข่ายชุมชนขยาย และระดับภาคีเครือข่ายภาครัฐ และเกิดนโยบายระดับพื้นที่ในการคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว
นางสาวอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า สถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กสตรีและครอบครัว ยังคงน่าห่วง มูลนิธิฯ ร่วมกับ สสส. และ กรม สค. จัดทำหนังสือ “คู่มือการสร้างและพัฒนาพื้นที่ปลอดภัยทางสังคมโดยชุมชน” ซึ่งเป็นหนังสือที่จะถ่ายทอดบทเรียนการทำงานของแกนนำชุมชน 3 รูปแบบ ในพื้นที่ชุมชนเมือง คือ ชุมชนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม เขตดุสิต ชุมชนซอยพระเจน เขตปทุมวัน และชุมชนวัดโพธิ์เรียง เขตบางกอกน้อย กทม. พื้นที่ชุมชนชนบท คือ ชุมชนบ้านคำกลาง ต.โนนหนามแท่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ และพื้นที่แรงงานอุตสาหกรรม คือ สมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนเพื่อการพัฒนา(ไทยเกรียง) หวังว่า คู่มือฉบับนี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานในชุมชน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน นำไปประยุกต์ใช้สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางสังคม เพื่อร่วมกันยุติความรุนแรงต่อเด็กผู้หญิงและครอบครัว
“เนื้อหาคู่มือเล่มนี้ ถอดบทเรียนจากกระบวนการทำงานของมูลนิธิฯ ร่วมกับแกนนำเครือข่าย ภายในคู่มือประกอบด้วยเนื้อหา กระบวนการทำงานคุ้มครองทางสังคมต้องทำอย่างไร แกนนำชุมชนต้องมีทักษะหรือเทคนิคการทำงานคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัวอย่างไรบ้าง รวมถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องในการทำงานต้องมีความรู้ด้านใด และตัวชี้วัดกระบวนการคุ้มครองทางสังคมมีเกณฑ์อะไรบ้าง ทั้งนี้ มูลนิธิฯ คิดว่าจะมีการพัฒนาคู่มือดังกล่าวเป็น “หลักสูตร” การทำงานสำหรับชุมชนในปี 2564 เพื่อให้ชุมชนนำร่องได้มีการยกระดับการทำงานถ่ายทอดบทเรียนไปสู่ชุมชนที่สนใจต่อไป โดย กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบรัว จะนำหลักสูตรดังกล่าวไปขยายสู่ผู้ปฏิบัติงานในชุมชน และขยายไปสู่หน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อปรับใช้ในการสร้างและพัฒนาพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง ซึ่งที่ผ่านมาชุมชนนำร่องเหล่านี้ได้พัฒนาบทเรียนการทำงานจากประสบการณ์จริงไปใช้จริงในพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ จนสามารถพัฒนาเป็นชุนชนต้นแบบในการลดปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัวได้ และหลายหน่วยงานเข้ามาเรียนรู้ดูงานพร้อมแลกเปลี่ยนการทำงานกับแกนนำได้จริง” นางสาวอังคณา กล่าวเพิ่มเติม
นางนัยนา ยลจอหอ ผู้แทนชุมชนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม เขตดุสิต กล่าวว่า แนวทางการทำงานของเครือข่ายชุมชนวัดสวัสดิ์ฯ จะเก็บรวบรวมข้อมูลจากเคสความรุนแรง เพื่อหาสาเหตุและกำหนดเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังขยายพื้นที่จาก 42 ชุมชนในเขตดุสิตไปยังชุมชนอื่นในเขตกรุงเทพฯ โดยเริ่มจากการเชิญคณะกรรมการของแต่ละชุมชน เข้าอบรมทำความเข้าใจ เมื่อเกิดเหตุขึ้น จะได้หาแนวทางป้องกันและแก้ไขได้อย่างถูกต้องทันท่วงที ซึ่งเครือข่ายชุมชนวัดสวัสดิ์ฯพร้อมเป็นแกนกลางให้ชุมชนอื่นประสานความช่วยเหลือ สำหรับการต่อยอดการทำงานให้ยั่งยืน บูรณาการงานทั้งหมดที่มีอยู่ในชุมชนเข้าด้วยกัน เช่น การทำเกษตรพื้นที่แคบ และการฝึกทักษะอาชีพเข้ามาเยียวยาจิตใจผู้ถูกกระทำ เป็นต้น
“ปัญหาและอุปสรรคของการทำงานส่วนใหญ่ เกิดจากความแตกต่างของคนที่เข้ามาทำงานด้านจิตอาสา เราใช้วิธีแก้ไขด้วยการประชุมวางแผนให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างเสมอภาค สำหรับ “คู่มือการทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรีและเด็ก” ที่มูลนิธิฯได้ผลิตเพื่อแจกจ่ายให้เครือข่าย เป็นคู่มือที่มีความจำเป็นช่วยสะท้อนการทำงานที่ผ่านมา สามารถย้อนกลับไปดูวิธีปฏิบัติเพื่อหาแนวทางพัฒนาให้ยั่งยืนต่อไป อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรง อยากให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ไม่ปล่อยปะละเลย ที่สำคัญก่อนออก พ.ร.บ.คุ้มครองต่างๆต้องดูบริบทของปัญหาของเด็กและสตรีด้วย ในส่วนของงบอุดหนุนช่วยเหลือการทำงานด้านนี้ชุมชนหลายแห่งใน 50 เขตของกรุงเทพฯ ยังขาดงบประมาณสนับสนุน จึงอยากให้ กทม. พิจารณาเรื่องนี้ด้วย” นางนัยนา กล่าวสรุป
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » ประชาสัมพันธ์
Top 5 ข่าวประชาสัมพันธ์
- PRM ร่วมงาน OppDay มั่นใจธุรกิจปี 67 สดใส 23 เม.ย. 2567
- “BR” จัดประชุมสามัญประจำปี 2567 23 เม.ย. 2567
ข่าวในหมวดประชาสัมพันธ์
- SAK จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 พร้อมอนุมัติจ่ายปันผล 0.15 บาทต่อหุ้น 16:38 น.
- พม. ยกย่อง 16 บุคคลต้นแบบ “นักสังคมสงเคราะห์ดีเด่น” เนื่องในวันปกรณ์ 2567 14:57 น.
- สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล 14:00 น.
- กรมอุทยานแห่งชาติฯ เผยค้นพบผึ้งหลวงหิมาลัยเป็นครั้งเเรกในประเทศไทย (New record) ชี้มีความสำคัญต่อภาพรวมของความหลากหลายทางชีวภาพ 13:33 น.
- อพท. เปิดรับสมัคร “สุดยอดนวัตกรรมเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน” 10:25 น.