วันพฤหัสบดี ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2567, 10.30 น.
ทธ. จัดทำหนังสือ "ซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล
เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗”
กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จัดแถลงข่าวสื่อมวลชน ในประเด็น “ซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติ”โดยมี นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะโฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน พร้อมด้วยนายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี และนายปรีชา สายทอง ผู้อำนวยการกองคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ ร่วมแถลงข่าวสื่อมวลชน ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๑ อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะโฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า “ประเทศไทยเริ่มการศึกษาวิจัยซากดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ และได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้อง อนุรักษ์ และคุ้มครองมรดกทางธรณีวิทยาอันล้ำค่าของชาติ นั่นคือ “ซากดึกดำบรรพ์” ซึ่งในปัจจุบันมีการประกาศขึ้นทะเบียนซากดึกดำบรรพ์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นและมีคุณค่า ที่มีชื่อว่า “ซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียน” โดยกรมทรัพยากรธรณีดำเนินการประกาศซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จำนวนทั้งสิ้น ๙๓ ชนิด ๕๐๕ ชิ้นตัวอย่าง ซึ่งซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนเหล่านี้ หากมีคุณสมบัติโดดเด่นและมีคุณค่าตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งที่หายากและมีคุณค่าพิเศษ สมควรเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ หรือมีชื่อเรียกสั้น ๆ ว่า “ซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติ” ซึ่งได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติแล้ว จำนวน ๕๖ ชนิด ๑๘๙ ชิ้นตัวอย่างเนื่องในโอกาสปีมหามงคลนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้คัดเลือกซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติ จากจำนวน ๕๖ ชนิด ๑๘๙ ชิ้นตัวอย่าง นำมาจัดทำหนังสือ "ซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗” โดยใช้เพียงซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติ จำนวน ๕๖ ชนิด ๗๒ ชิ้นตัวอย่าง เพื่อให้เป็นจำนวนตัวเลขที่เหมาะสมกับจำนวนพระชนมายุของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติ จำนวน ๕๖ ชนิด ๗๒ ชิ้นตัวอย่างที่นำมาจัดทำหนังสือเล่มนี้ ประกอบด้วย
• ซากดึกดำบรรพ์สัตว์เลื้อยคลาน ๒๓ ชนิด ๓๙ ชิ้นตัวอย่าง
• ซากดึกดำบรรพ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ๒๑ ชนิด ๒๑ ชิ้นตัวอย่าง
• ซากดึกดำบรรพ์ปลา ๑๒ ชนิด ๑๒ ชิ้นตัวอย่าง
โดยกรมทรัพยากรธรณีจะจัดทำหนังสือดังกล่าวทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข้อมูลอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนสมบัติของชาติ และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระกรณียกิจของพระบรมวงศานุวงศ์ ในภารกิจด้านธรณีวิทยา ทรัพยากรธรณี และซากดึกดำบรรพ์ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน นักเรียน นักวิจัย นักวิชาการ และผู้ที่สนใจทั้งภายในและต่างประเทศ กรมทรัพยากรธรณีจึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมภาคภูมิใจในมรดกทางธรณีวิทยาของประเทศ และร่วมกันอนุรักษ์มรดกทางธรรมชาติอันล้ำค่าเหล่านี้ให้คงอยู่เป็นสมบัติของแผ่นดินให้แก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป
อีกทั้ง กรมทรัพยากรธรณี มีโครงการนิทรรศการหมุนเวียน โดยจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติ ภายในพิพิธภัณฑ์ในสังกัดกรมทรัพยากรธรณีทั้ง ๖ แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วย
๑) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติธรณีวิทยาเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี
๒) พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาและธรรมชาติวิทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๓) ศูนย์วิจัยทรัพยากรแร่และหิน จังหวัดระยอง
๔) ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ จังหวัดขอนแก่น
๕) พิพิธภัณฑ์สิรินธร จังหวัดกาฬสินธุ์
๖) พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ธรณีวิทยาและธรรมชาติวิทยา จังหวัดลำปาง
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยจะมีการจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติที่คัดเลือกจากในเนื้อหาของหนังสือ จำนวน ๑๐ ชนิด ๑๑ ชิ้นตัวอย่าง ประกอบด้วยไดโนเสาร์ ๔ ชนิด ๔ ชิ้นตัวอย่าง ปลา ๑ ชนิด ๒ ชิ้นตัวอย่าง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ๒ ชนิด ๒ ชิ้นตัวอย่าง รวมถึงเต่าและจระเข้อย่างละ ๑ ชนิด ๑ ชิ้นตัวอย่างพร้อมกันนี้ กรมทรัพยากรธรณีจะประกาศงดเว้นการเก็บค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในสังกัดทั้ง ๗ แห่งทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ รวม ๑๐ วัน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสปีมหามงคลนี้
นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยว่า “การจัดทำหนังสือฉบับนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แล้ว ยังมุ่งหวังให้เกิดการเผยแพร่ความรู้และสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของซากดึกดำบรรพ์อันเป็นมรดกทางธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่แหล่งซากดึกดำบรรพ์และพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่การอนุรักษ์และคุ้มครองทรัพยากรธรณีอย่างยั่งยืนต่อไป”