วันพุธ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 02:10 น.

ประชาสัมพันธ์

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการอุทยานมรดกอาเซียน ครั้งที่ 12

วันจันทร์ ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 12.09 น.

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการอุทยานมรดกอาเซียน ครั้งที่ 12

ยกระดับความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ในภูมิภาค พร้อมเสนอ "อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์" ขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานมรดกอาเซียนแห่งใหม่

 


นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ในโอกาสที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการอุทยานมรดกอาเซียน ครั้งที่ 12 (12th ASEAN Heritage Park Committee Meeting: 12th AHPCM) ระหว่างวันที่ 26-27 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมฮิลตัน กรุงเทพ แกรน อโศก กรุงเทพมหานคร

การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า100 คน จาก 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนจากสำนักเลขาธิการอาเซียน ศูนย์อาเซียนว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนจากติมอร์-เลสเต เข้าร่วมสังเกตการณ์ประเทศไทย

 

ในฐานะเจ้าภาพ ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดยมีประเทศเวียดนามซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งหน้าทำหน้าที่เป็นรองประธานการประชุม สาระสำคัญของการประชุมมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานในอุทยานมรดกอาเซียน การรายงานความก้าวหน้าโครงการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการหารือและกำหนดทิศทางการบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองในภูมิภาคอาเซียน

 

ในโอกาสนี้ ประเทศไทยได้แจ้งต่อที่ประชุมถึงความประสงค์ที่จะนำเสนอ “อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่” เป็นอุทยานมรดกอาเซียนแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดเตรียมเอกสารและข้อมูลต่างๆ ตามระเบียบและข้อกำหนดของคณะกรรมการมรดกอาเซียน อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกอาเซียนว่า ต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกพื้นที่, จัดทำเอกสารผ่านสำนักนโยบายและแผนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.), การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจาก ACB (ASEAN Center for Biodiversity), การพิจารณาโดยคณะกรรมการมรดกอาเซียน (AHP Committee), การเห็นชอบจากคณะทำงานอาเซียนด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ (AWGNCB), การรับรองจากคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม (ASOEN), และสุดท้ายคือการรับรองและประกาศขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการโดยการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม (AMME) กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับความพร้อมของพื้นที่และข้อมูล ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานมรดกอาเซียนแล้ว 10 แห่ง โดย 9 แห่งอยู่ภายใต้

การดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้แก่
- อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (ประกาศปี พ.ศ. 2527)
- อุทยานแห่งชาติตะรุเตา (ประกาศปี พ.ศ. 2527)
- อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา – อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ – อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน (ประกาศปี พ.ศ. 2546)
- กลุ่มป่าแก่งกระจาน (อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี) (ประกาศปี พ.ศ. 2546)
- อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม – เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง (ประกาศปี พ.ศ. 2562)
- อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง (ประกาศปี พ.ศ. 2562)
- อุทยานแห่งชาติเขาสก (ประกาศปี พ.ศ. 2564)
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว - อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว (ประกาศปี พ.ศ. 2566)
- อุทยานแห่งชาติภูกระดึง (ประกาศปี พ.ศ. 2566)

 

 

และลำดับที่ 10 คือ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี จังหวัดสมุทรปราการซึ่งได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567นายอรรถพล กล่าวว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พื้นที่

 

อุทยานมรดกอาเซียนของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และเป็นการส่งเสริมความรู้ เพิ่มประสิทธิภาพให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อนุรักษ์ รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการจัดการพื้นที่อนุรักษ์กับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน และสร้างเครือข่ายความร่วมมือในอนาคต และในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 จะมีการจัดกิจกรรมศึกษาดูงาน ณ อุทยานแห่งชาติ


เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ดและสวนพฤกษศาสตร์ระยอง จังหวัดระยอง นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2568 จะมีการประชุมคณะทำงานอาเซียนด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ (ASEAN Working Group on Nature Conservation and Biodiversity: AWGNCB) ซึ่งเป็นการประชุมเชิงนโยบายต่อเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการอุทยานมรดกอาเซียนกรมอุทยานฯ และหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะร่วมจัดนิทรรศการ “อุทยานมรดกอาเซียนในประเทศไทย” ณ บริเวณพื้นที่จัดการประชุมด้วย


การขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานมรดกอาเซียนจะช่วยเพิ่มศักยภาพของพื้นที่ในหลายมิติ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่, ด้านการมีส่วนร่วม โดยกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่าและเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการอนุรักษ์ทรัพยากร การเสริมสร้างพันธมิตร โดยสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในระดับประเทศและระดับอาเซียน การพัฒนาศักยภาพ โดยสนับสนุนการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และโอกาสในการได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการอุทยานมรดกอาเซียน ประโยชน์เหล่านี้จะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพพื้นที่ให้เข้มแข็งในทุกด้าน เพื่อประโยชน์ของประเทศและภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน นายอรรถพล กล่าวทิ้งท้าย