นายธนา ไชยประสิทธิ์ นายกสมาคมกีฬา ตะกร้อ แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี ม.กรุงเทพธนบุรี ร่วมกันเป็นประธานแถลงข่าวการแข่งขันตะกร้อชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครั้งที่ 35 ประจำปี 2567 ที่โรงแรมอเล็กซานเดอร์ หัวหมาก บางกะปิ 

สำหรับ ตะกร้อชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยฯ ครั้งนี้กำหนดทำการแข่งขันระหว่างวันที่ 2-8 เม.ย.67 ที่ไอส์แลนด์ฮอลล์ ชั้น 3 ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ กรุงเทพฯ โดยมีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 207 ทีม เพื่อเฟ้นหานักกีฬาดาวรุ่งหน้าใหม่ มาเสริมทัพทีมชาติไทย ในอนาคต

โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น 7 ประเภท ประกอบด้วย 1.เซปักตะกร้อชายทั่วไป ประเภททีมเดี่ยวชาย ชิงถ้วยพระราชทาน 62 ทีม /  2.เซปักตะกร้อหญิงทั่วไป ประเภททีมเดี่ยวหญิง ชิงถ้วยพระราชทาน 44 ทีม / 3.เซปักตะกร้อคู่ ประเภททีมชาย 60 ทีม /  4.เซปักตะกร้อคู่ ประเภททีมหญิง 21 ทีม / 5.ตะกร้อลอดห่วงสากลชายทั่วไป 6 ทีม / 6.ตะกร้อลอดห่วงสากลหญิงทั่วไป 9 ทีม และ7.ตะกร้อลอดห่วงไทย 5 ทีม สำหรับการแข่งขันในวันที่ 2 เมษายน เริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ขณะที่พิธีเปิดการแข่งขัน เริ่มเวลา 15.00 น. มี นายธนา ไชยประสิทธ์ เป็นประธานในพิธีเปิด ส่วนพิธีปิดการแข่งขันวันที่ 8 เม.ย. เวลา 16.00 น.

ส่วน กรณีเรื่องเงินรางวัลอัดฉีดของนักกีฬาตะกร้อทีมชาติไทย หลังจากจบมหกรรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่นครหางโจว ประเทศจีน ซึ่งได้มีเรื่องการทำข้อตกลงเงินแบ่งอัดฉีด 10.1 ล้านบาทของนักกีฬาตะกร้อ 30-50% จากเงินอัดฉีดที่นักกีฬาแต่ละคนได้รับจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ให้กับสต๊าฟโค้ชนั้น นาย ธนา เผยว่าทางคณะกรรมการกำลังพิจารณาการตัดสินกันอยู่ ยังไม่จบ และจะมีพิจารณากันต่อในเรื่องของการสอบสวน ส่วนตัวไม่ได้หนักใจอะไร เพราะเรื่องเป็นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และเป็นประเพณีของนักกีฬากับเจ้าหน้าที่

เวลานี้กำลังหารือหลังจากได้รับข้อมูลจากคณะทำงาน ยังคงสืบสวนกันต่อเนื่องเพื่อให้ได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ และได้สอบถาม การกีฬาแห่งประเทศไทยว่า สมาคมมีอำนาจในการลงโทษ หรือ ตั้งข้อหาอะไรได้บ้าง ในส่วนของการจะมีการฟ้องร้องของผู้เสียหายนั้น คงเป็นการทำเป็นการส่วนตัวต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหา เพราะ เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนสมาคมชุดนี้เข้ามาบริหาร อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่ สมาคมตะกร้อชุดนี้ดำเนินการได้นั้นคือ จะวางกติกาเรื่องเงินรางวัลให้ชัดเจน โค้ช ไม่ควรได้เงินจากนักกีฬาเพิ่มแล้ว เพราะได้เงินรางวัล 20% จากยอดเงินรางวัลของนักกีฬาอยู่แล้ว และเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในอดีต ส่วนปัจจุบัน และ อนาคตจะไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด