วันศุกร์ ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2568 02:39 น.

การเมือง

เสธ.อดีตรองเลขาฯสมช. ชี้เกมเก่า รบ.กัมพูชา ใช้ไทยเป็นเป้า เบี่ยงศึกในประเทศตัวเอง

วันจันทร์ ที่ 02 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 15.23 น.

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2568 พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเห็นกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ไทยโดนท้าทายจากกัมพูชา ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การบริหารประเทศที่ไม่ประสบความสำเร็จก็มักหาศัตรูภายนอกมาเป็นเป้าแทนรัฐบาลเสมอ เป็นเรื่องปกติ สำหรับกัมพูชาแล้ว การใช้ไทยเป็นเป้าไม่ใช่เรื่องใหม่ และปลุกง่าย ในขณะเดียวกันเราต้องไม่ประมาท มีจุดอ่อนนิดเดียวจะถูกเอาไปใช้ประโยชน์ทันที ดังนั้น ท่าทีของเราต้องมั่นคงไม่อ่อนยวบ เพราะหวังผลประโยชน์อื่นมากกว่าแก้ปัญหาที่ตรงหน้า

และเนื่องจากทั้งไทย และกัมพูชาต่างก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน หากเกิดปัญหา จีนอาจถูกดึงมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หากเป็นเช่นนั้นไทยจะเสียเปรียบทันที

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ ไทยถอนตัวออกจากการเป็นภาคีแล้ว ดังนั้นการตัดสินข้อพิพาทระหว่างประเทศจะเหลือเฉพาะกำลังทหารเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม กัมพูชายังคงอ้างสิทธิของตนอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นสิทธิกระทำได้ ฝ่ายไทยก็ต้องอ้างสิทธิด้วยจนกว่าจะปักปันเขตแดนเสร็จ ดังจะเห็นเผยแพร่ข่าวสารบอกว่า พื้นที่เป็นของกัมพูชา เพราะมีภาพถ่าย (เลียนแบบกรณีพระวิหาร)

ปูพื้นแล้ว ต่อไปควรทำอย่างไร ในความเห็นส่วนตัว

ต้องเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจากส่วนกลาง เป็นเรื่องทางการเมืองของกัมพูชาเอง ดังนั้นต้องไม่ประมาท ตัวอย่างที่เห็นเร็วๆนี้ที่จบประชุมไทยบอก 3 ข้อ กัมพูชาบอก 4 ข้อ สิ่งที่ควรทำแล้วพลาดไปสำหรับฝ่ายไทยคือการแถลงการณ์ร่วม จะได้มัดให้พูดตรงกัน เรื่องนี้ทหารไทยไม่ทันเกมการเมืองระหว่างประเทศอาจเพราะไม่ชำนาญ กระนั้นในการประชุมรอบต่อไป อย่าพลาดอีกสำหรับการประชุม JBC ระหว่างทหารทั้งสองประเทศ

เรื่องที่ไทยต้องทำ ก็เหมือนที่กัมพูชา ทำคือยืนยันสิทธิของตนไปให้สุดทางอย่าได้พลาด อย่าพูดแค่พื้นที่ทับซ้อนแล้วเผลอถอยออกมา เส้นพรมแดนของเราไม่ใช่จบที่พื้นที่ทับซ้อน แต่เป็นพื้นที่อ้างสิทธิไปจนสุดต่างหาก หากเผลอไปถอย กัมพูชาจะเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนแล้วอ้างเส้นใหม่ทันที นี่ขั้นแรก อย่าพลาด มิฉะนั้นจะมีความผิดร้ายแรง

ทางที่จะจบเรื่องคือการมีข้อตกลงที่ชัดเจนว่า ห้ามใครเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อนจนกว่าจะปักปันเขตแดนเสร็จ หากมีการบุกรุกสามารถยิงได้ทันทีเป็นต้น แต่เรื่องนี้กัมพูชาไม่น่าจะตกลงเพราะทำให้การแอบเข้ามาอ้างสิทธิมีอันตราย

แบบนี้หากกัมพูชาไม่ยอมออกจากพื้นที่อ้างสิทธิของเรา (ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนนะ เพียงแต่เป็นอันเดียวกัน) จะทำอย่างไร ?

ปกติจะใช้กำลังทหารหลักขับไล่บีบให้มีการเจรจา แต่คาดว่ากัมพูชาคงไม่เสี่ยง อาจแค่ลองทดสอบไทยดูเท่านั้น

อย่างไรก็ตามก่อนใช้กำลังทหาร ควรมีมาตรการจากเบาไปหาหนักดังนี้

เริ่มจากเตือนภาคเอกชนไทยที่มีการส่งสินค้าไปกัมพูชา และส่วนที่จ้างแรงงานกัมพูชาว่าเริ่มมีความเสี่ยงจะเกิดความขัดแย้งระดับต่ำเกิดขึ้น

หากสถานการณ์พัฒนาไปถึงจุดที่ไม่ควรมีการค้าขายระหว่างกัน อาจเริ่มจากการจำกัดสินค้าบางรายการ ร่วมกับมาตรการปิดด่านชั่วคราวหรือจุดผ่อนปรนทางการค้า แต่ยังคงเปิดด่านถาวรให้อยู่ แจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการชาวไทยในกัมพูชาเตรียมตัวในกรณีฉุกเฉิน

สถานการณ์ควรจะคงอยู่ในระดับนี้ จนกว่าจะบานปลายมากไปกว่านี้ก็จะเข้าสู่ความขัดแย้งที่ต้องมีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลง แนะนำให้ผู้ประกอบการไทยเดินทางออกนอกประเทศกัมพูชา เป็นต้น

หากพัฒนาไปจนถึงการจัดวางกำลับทหารเผชิญหน้ากัน ก็ควรแจ้งกำหนดเวลาให้ผู้ประกอบการไทยที่จ้างงานชาวกัมพูชาให้เริ่มหาแรงงานอื่นทดแทน

หากเกิดการปะทะกันอีก ไทยควรประกาศเนรเทศแรงงานชาวกัมพูชาออกนอกประเทศจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สงครามจำกัดเขตระหว่างไทยและกัมพูชา

ถ้ารบกันจริงๆ กัมพูชาจะสู้ไทยไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังทางอากาศมากนักคือมีเฮลิคอปเตอร์อยู่ 21 ลำ ไม่มีเฮลิคอปเตอร์โจมตี ไทยเรามีเฮลิคอปเตอร์โจมตีอยู่ 5 ลำที่พร้อมใช้งาน แค่นี้ก็พอแล้ว

ส่วนการปะทะทางพื้นดินหากจะมี จะวัดกันที่ระยะยิงและความแม่นยำของปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง

ปืนใหญ่ของกัมพูชาระยะยิงอยู่แถว 12 ถึง 27 กม. ในขนาด 251 และ 130 ม.ม. ของไทยใช้ระยะปกติของนาโตคือ 40 กม. เป็นพื้นฐานสำหรับขนาด 155 ม.ม. ดังนั้นกำลังภาคพื้นดินกัมพูชาไม่ควรสู้ไทยได้ อีกทั้งปืนใหญ่ของไทยใช้กระสุนนำวิถีหมายถึงยิงนัดเดียวโดนที่หมาย โดยไทยใช้ทั้งดาวเทียม GPS และ ARWACS ได้ แล้วแต่ความจำเป็น รุ่นที่ดังๆ ก็มี M-777 แบบลากจูงระยะ 40 กม. ของสหรัฐฯและซีซาร์เป็นแบบอัตตาจรของฝรั่งเศสระยะ 42 กม.กับที่ไทยผลิตเอง คือปืนใหญ่อัตตาจรล้อยาง ATMG

ข้อได้เปรียบของกัมพูชาคือจรวดหลายลำกล้อง ที่เคยใช้มาแล้วในปี 2554 เพราะมีจำนวนมาก มากกว่าไทยหลายเท่า ขัอแตกต่างเดียวคือของไทยเป็นระบบนำวิถีทั้งหมดและกองทัพไทยมีโดรนปรับการยิงแล้ว จึงสามารถอำนวยการยิงได้ตลอดเวลา ที่สำคัญอีกคือสามารถทำการรบในเวลากลางคืนได้

มาดูจรวดหลายลำกล้องกัน ไทยมีอยู่ 18 ชุดที่พร้อมรบ กัมพูชามี 255 ชุด

จะข้ามจรวดหลายลำกล้องระยะใกล้อย่าง BM-13 BM-14 และ BM-21 ที่มีระยะยิงราว 11 กม. 20 กม. และ 40 กม. ตามลำดับที่เคยถูกปืนใหญ่ของฝรั่งเศสรุ่นซีซาร์ระยะยิง 42 กม. ทำลายไปแล้ว มาดูตัวท๊อปที่ยังมีจำนวนมากราว 150 ชุด มีระยะ ตั้งแต่ 130 ถึง 450 กม. รุ่นที่เห็นเป็นข่าวคือ PHL-03 มีอยู่ 25 ชุดระยะยิง 130 กม. ขนาด 300 ม.ม. ระยะยิง 70-300 กม. และ PHL- 81 มีราว 100 ชุด ระยะยิง 450 กม. ขนาด 122 ม.ม. ไม่นำวิถี

ของไทยจะเป็นหลายรุ่น มีระยะยิง 40 กม. 70 กม. และ 300 กม. เป็นแบบนำวิถีหมด คุณภาพระดับเดียวกับ HIMARS รุ่นใหญ่ที่สุดคือ D11A คันเดียวเปลี่ยนขีปนาวุธได้ทุกระยะตั้งแต่ 40 70 130 และ 300 กม. ใช้ระบบนำวิถี นอกนั้นเป็นรุ่นที่รู้จักกันเช่น DTI-1 DTI-1G DTI-2 เป็นต้น แม้มีน้อยแต่ความแม่นยำน่าเชื่อถือได้

สุดท้ายเรายังมี f-5 ปล่อยระเบิดร่อนได้ ไม่ทราบว่า ทำให้ได้ระยะถึง 70 กม.ได้หรือยัง ถ้าเจอ mlrs ระยะไกลคงต้องใช้อากาศยาน

แต่เชื่อเถอะกัมพูชายังไม่เสี่ยงครับ นอกจากได้ไฟเขียวจากจีนแน่นอนแล้ว

"วิโรจน์" หนุนบทบาท ทภ.2 ย้ำ เจรจา คือทางออกข้อพิพาทไทย-กัมพูชา
 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า สิ่งที่เราควรจะทำที่สุดในตอนนี้คือติดตามสถานการณ์ ฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายราชการจะต้องสงวนความเห็นสำคัญๆไว้ก่อน โดยทางกมธ.ได้ติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรายืนยืนยันว่าการดำเนินการของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 ถือว่าปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้องแล้ว คือ มีความเข้มแข็งแต่พร้อมที่จะเจรจาหารือเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งด้วยสันติวิธี มีจุดยืนที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ ซึ่งตนมองว่าการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทจะต้องยึดเอาหลักของการเจรจาเพื่อความสงบสุขของประเทศเป็นสำคัญก่อน

ส่วนท่าทีของฝ่ายบริหารเป็นอย่างไรนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่าโดยปกติฝ่ายค้านมักจะต้องอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาล แต่ในกรณีนี้การให้ความสำคัญกับข้อมูลและการสงวนความคิดเห็นให้ความเห็นเฉพาะเท่าที่จำเป็นสำคัญที่สุด เพราะข้อพิพาทในเรื่องของเขตแดนยิ่งพูดมากอีกฝ่ายหนึ่งจะหยิบจับมาใช้เป็นข้อมูลที่ทำให้เขาได้ประโยชน์

วันนี้การสงวนท่าทีของรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศถูกทางแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้ความเห็นเพื่อให้ประชาชนสบายใจว่าทั้งหมดทั้งมวลยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลอยู่ทุกฝีก้าว ไม่ได้ละเลยแต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องสงวนความเห็นสงวนท่าที เพื่อให้กลุ่มก้อนต่าง ๆ ที่มีความเป็นห่วงในเรื่องของอธิปไตยของชาติ จะได้มีความรอบคอบในการให้ความเห็นมากขึ้น

เมื่อถามว่าทางกมธ.มีการประเมินไว้หรือไม่ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร นายวิโรจน์ กล่าวว่า ข้อพิพาทต้องจบที่การเจรจา หากไปจบที่ศาลโลกเราจะไม่ทราบเลยว่าใครจะได้ใครจะเสีย แต่ส่วนมากมักจะจบว่าเราได้บางส่วนเสียส่วนนึง ซึ่งก็ถือว่ามีส่วนเสียแต่หากจบด้วยการเจรจาของทั้งสองประเทศ ในจุดที่ต่างฝ่ายต่างต้องเสียก็อาจจะไม่ต้องเสียเลยก็ได้ สามารถบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ภายใต้การอะลุ่มอล่วยที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย โดยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนและเคารพต่อบันทึกตนมองว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด

"สิ่งที่ห้ามทำตอนนี้คือ การกระหายสงครามเพราะสงครามและการสู้รบอาจจะได้ความสะใจ แต่ในระยะกลางระยะยาวมีแต่ความสูญเสีย ซึ่งผมไม่อยากให้มีกระแสกระหายสงคราม แต่เราต้องไม่อ่อนแอยามศึกเรารบยอมสงบเราเตรียม" นายวิโรจน์กล่าว

หน้าแรก » การเมือง