วันพฤหัสบดี ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2568 17:29 น.

การเมือง

"มาริษ" ย้ำ "ทูต ศก.เชิงรุก" ดันเครื่องยนต์ ศก.อุตสาหกรรมใหม่รับเทรนด์โลก

วันจันทร์ ที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 12.34 น.

"รมว.กต." ประชุม ออท.-กสญ.ไทยผลักดันผลประโยชน์ไทยให้ตอบโจทย์ความท้าทายโลก-สร้างรายได้ ปชช.ทั่วถึง - ย้ำ "ทูต ศก.เชิงรุก" ดันเครื่องยนต์ ศก.อุตสาหกรรมใหม่รับเทรนด์โลก 

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568   นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มอบนโยบายแก่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก ประจำปี 2568 เพื่อร่วมกันกําหนดทิศทาง และแนวทางขับเคลื่อนนโยบายการต่างประเทศในบริบทโลก ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ในหัวข้อการประชุม “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ” ว่า การประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญที่ โลกอยู่ในจุดเปลี่ยน (Turning point) ที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงสร้างอำนาจและระเบียบโลก แบบหลายขั้วอำนาจ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ อาจเห็นความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเดิม กับมหาอำนาจ ใหม่ ๆ ท้าทายโลกกลับสู่ภาวะไร้เสถียรภาพ ประเทศต่าง ๆ ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ภาวะนี้ มักนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดความขัดแย้งทางทหารในวงกว้าง ดังนั้น จึงขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ร่วมกันมอง และประเมิน ผลกระทบในภาพใหญ่ และระยะยาวให้กว้างกว่าการรับมือกับมาตรการตอบโต้ทางภาษีในปัจจุบัน และร่วมกันปรับเป้าหมายและกลยุทธ์ การดำเนินนโยบายต่างประเทศให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทโลกปัจจุบัน เพื่อขับเคลื่อนการต่างประเทศ นำพาประเทศไทยไปอยู่ในตำแหน่งจุดยืนที่จะสามารถแสวงหาประโยชน์สูงสุด ภายใต้การเมืองโลกปัจจุบัน และอนาคต เพื่อรักษา-ผลักดันผลประโยชน์ของไทยให้ตอบโจทย์

นายมาริษ ยังย้ำหลักการการดำเนินนโยบายต่างประเทศไทย ที่รัฐบาลใช้เป็นแนวทางการขับเคลื่อนการต่างประเทศในปัจจุบัน อาทิ การรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ (strategic balance) กับมหาอำนาจหลัก และการเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับมหาอำนาจรอง เพื่อกระจายความเสี่ยง (multiple alignment) รักษาจุดแข็งของไทยที่ไม่เลือกข้าง อยู่บนพื้นฐานของการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติอย่างยืดหยุ่น ยึดผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชนเป็นสำคัญ, การมีส่วนร่วมในการกำหนดระเบียบโลกใหม่ในประเด็นต่าง ๆ และของกลุ่มต่าง ๆ เช่น OECD และ BRICS เพื่อเป็นผู้เชื่อมกลุ่มและขั้วอำนาจต่าง ๆ และเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพ (peace promoter) และผู้ปกป้องกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นจุดเปราะบางต่าง ๆ โดยในช่วงที่ผ่านมา บทบาทของไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมา และการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากประเทศต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถคงบทบาทที่สร้างสรรค์ในประเด็นความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางสุขภาพ จากจุดแข็งของไทยด้านการเกษตรและสาธารณสุขด้วย

นายมาริษ ยังเน้นย้ำถึงการใช้นโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ผ่านการเร่งส่งเสริมเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ หรือ GDP growth engines ที่เป็นสินค้าในอุตสาหกรรมใหม่ (S Curve) และเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ให้มีปริมาณการผลิต เพื่อใช้ในประเทศ นำเข้า และส่งออกมากขึ้น อาทิ Semiconductor, AI, EV, Data Center, Robotic เป็นต้น โดยรัฐบาลเน้นดำเนินการผ่านการดึงดูดการลงทุนใน 7 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, แบตเตอรี่ไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า ฐานชีวภาพ (BCG) ดิจิทัลและสร้างสรรค์ และศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ที่ต้องเร่งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างศูนย์กลางการบิน Landbridge, Financial Hub และกฎกติกาทางเศรษฐกิจในบริบทโลกใหม่ อย่าง FTA OECD ระเบียบ AI รวมทั้งยังต้องรักษาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเดิมตั้งแต่การท่องเที่ยว การส่งออกสินค้าเกษตร ตลอดจนสินค้าหลักตัวอื่นๆ เช่น รถสันดาบ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี ควบคู่ไปกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง 

นายมาริษ ยังคาดหวังว่า ผลลัพธ์ของการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ครั้งนี้ จะสามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศ ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป็นการทูตต้องจับต้องได้ ทำให้ประชาชนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น
 

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง