วันพุธ ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568 13:25 น.

การเมือง

รูปแบบ AI ป้องกันภัยความมั่นคงประเทศ: กรณีปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา

วันจันทร์ ที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 16.01 น.

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงของรัฐในยุคโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งชายแดน เช่น กรณีการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการประยุกต์ใช้ AI เพื่อการคาดการณ์ ป้องกัน และตอบสนองอย่างทันท่วงที

บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์รูปแบบการใช้ AI เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ โดยพิจารณาจากการเข้าร่วมงาน WAIC 2025 ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ที่มุ่งดึงดูดการลงทุนด้าน AI และต่อยอดไปสู่ระบบเฝ้าระวังและวิเคราะห์ภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์อย่างยั่งยืน

1. บทนำ
การเผชิญหน้าระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนที่ผ่านมา ได้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเตือนภัยและการรับมือภาวะฉุกเฉินของภาครัฐ ในบริบทดังกล่าว ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการพัฒนาเครื่องมือในการรวบรวม วิเคราะห์ และคาดการณ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภัยความมั่นคง ตั้งแต่การเคลื่อนไหวของกองกำลัง ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันสงครามข่าวสาร (Information Warfare)

2. ความเชื่อมโยงของ AI กับความมั่นคงของรัฐ
AI มีบทบาทสำคัญในสามระดับของการป้องกันความมั่นคง ได้แก่:

2.1 การเฝ้าระวังเชิงพื้นที่ (Geospatial Surveillance)
โดยใช้ ภาพถ่ายดาวเทียมแบบเรียลไทม์ ร่วมกับ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวของบุคคลหรือยานพาหนะในพื้นที่ชายแดน เช่น การสะสมกำลังพล การตั้งค่าย หรือการเคลื่อนทัพ

2.2 การวิเคราะห์ข่าวกรองและภัยไซเบอร์
AI สามารถทำหน้าที่คัดกรอง Big Data จากแหล่งข่าวต่าง ๆ และตรวจจับการสื่อสารต้องสงสัยในโลกออนไลน์ และยังสามารถตรวจจับ ข่าวปลอม หรือ สงครามไซเบอร์ ที่อาจใช้กระพือความขัดแย้งข้ามพรมแดน

2.3 การประมวลผลแบบคาดการณ์ (Predictive Modeling)
ระบบ AI แบบ Deep Learning ที่ใช้ข้อมูลภูมิรัฐศาสตร์ กองกำลัง และเหตุการณ์ย้อนหลัง สามารถสร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงของการปะทะ และช่วยให้หน่วยงานด้านความมั่นคงเตรียมการล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การประยุกต์ใช้ AI ในบริบทประเทศไทย
การเข้าร่วมงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) 2025 ของ สกพอ. และการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานด้าน Smart City และ AI จากนครเซี่ยงไฮ้ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่ระบบป้องกันภัยความมั่นคงในอนาคตได้ดังนี้:

3.1 การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart Security Zone)
แนวคิดเมืองใหม่ใน EECiti ที่มีโครงสร้างดิจิทัลพื้นฐานอยู่แล้ว สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบตรวจจับภัยและการแจ้งเตือนฉุกเฉิน โดยมีเซ็นเซอร์ AI และระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์

3.2 ความร่วมมือกับจีนและ ASEAN
การแลกเปลี่ยนแนวทางกับองค์กรในเซี่ยงไฮ้ เช่น Shibei High-tech Park และ Mosu AI Center เปิดโอกาสให้ไทยเรียนรู้แนวทางการใช้ AI เพื่อความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในบริบทภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความซับซ้อนของข้อพิพาทชายแดน

4. กรณีศึกษา: การปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา
ในกรณีปะทะที่ภูมะเขือ–พระวิหาร หากมีระบบ AI ที่ทำงานร่วมกับโดรน UAV, กล้องอินฟราเรด, และข้อมูลการสื่อสารในพื้นที่ อาจสามารถ:

เตือนล่วงหน้าได้เมื่อพบความเคลื่อนไหวผิดปกติ

วิเคราะห์โอกาสการเกิดการปะทะในแต่ละจุด

จัดลำดับความเสี่ยงเพื่อวางแผนกำลังพลและการทูตอย่างมีประสิทธิภาพ

ป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในระดับระหว่างประเทศจากข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือน

5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ด้านความมั่นคงระดับชาติ โดยใช้แบบจำลองจากงานวิจัยของ Mosu AI Foundation

ตั้งศูนย์วิเคราะห์ความมั่นคงเชิงคาดการณ์ใน EEC เพื่อเชื่อมโยงกับพื้นที่ชายแดน

สร้างความร่วมมือทางวิชาการและเทคโนโลยีกับจีน–ASEAN โดยเน้นการพัฒนาร่วมด้าน AI ด้านภูมิรัฐศาสตร์

ผลักดันกฎหมายความมั่นคงดิจิทัล เพื่อรองรับการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและตรวจสอบได้

6. สรุป
AI กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันภัยความมั่นคงของประเทศในยุคข้อมูลข่าวสาร การเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยี AI กับระบบราชการและความร่วมมือระหว่างประเทศ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถป้องกันและตอบสนองต่อภัยคุกคามชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรณีศึกษาไทย–กัมพูชาถือเป็นบทเรียนที่แสดงให้เห็นว่าการพัฒนา AI ไม่ใช่เพียงเพื่อเศรษฐกิจ แต่รวมถึงการรักษาอธิปไตยและสันติภาพระยะยาวด้วย

หน้าแรก » การเมือง