การเมือง
รูปแบบ AI ป้องกันภัยความมั่นคงประเทศ: กรณีปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงของรัฐในยุคโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งชายแดน เช่น กรณีการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการประยุกต์ใช้ AI เพื่อการคาดการณ์ ป้องกัน และตอบสนองอย่างทันท่วงที
บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์รูปแบบการใช้ AI เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ โดยพิจารณาจากการเข้าร่วมงาน WAIC 2025 ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ที่มุ่งดึงดูดการลงทุนด้าน AI และต่อยอดไปสู่ระบบเฝ้าระวังและวิเคราะห์ภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์อย่างยั่งยืน
1. บทนำ
การเผชิญหน้าระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนที่ผ่านมา ได้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเตือนภัยและการรับมือภาวะฉุกเฉินของภาครัฐ ในบริบทดังกล่าว ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการพัฒนาเครื่องมือในการรวบรวม วิเคราะห์ และคาดการณ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภัยความมั่นคง ตั้งแต่การเคลื่อนไหวของกองกำลัง ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันสงครามข่าวสาร (Information Warfare)
2. ความเชื่อมโยงของ AI กับความมั่นคงของรัฐ
AI มีบทบาทสำคัญในสามระดับของการป้องกันความมั่นคง ได้แก่:
2.1 การเฝ้าระวังเชิงพื้นที่ (Geospatial Surveillance)
โดยใช้ ภาพถ่ายดาวเทียมแบบเรียลไทม์ ร่วมกับ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวของบุคคลหรือยานพาหนะในพื้นที่ชายแดน เช่น การสะสมกำลังพล การตั้งค่าย หรือการเคลื่อนทัพ
2.2 การวิเคราะห์ข่าวกรองและภัยไซเบอร์
AI สามารถทำหน้าที่คัดกรอง Big Data จากแหล่งข่าวต่าง ๆ และตรวจจับการสื่อสารต้องสงสัยในโลกออนไลน์ และยังสามารถตรวจจับ ข่าวปลอม หรือ สงครามไซเบอร์ ที่อาจใช้กระพือความขัดแย้งข้ามพรมแดน
2.3 การประมวลผลแบบคาดการณ์ (Predictive Modeling)
ระบบ AI แบบ Deep Learning ที่ใช้ข้อมูลภูมิรัฐศาสตร์ กองกำลัง และเหตุการณ์ย้อนหลัง สามารถสร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงของการปะทะ และช่วยให้หน่วยงานด้านความมั่นคงเตรียมการล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การประยุกต์ใช้ AI ในบริบทประเทศไทย
การเข้าร่วมงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) 2025 ของ สกพอ. และการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานด้าน Smart City และ AI จากนครเซี่ยงไฮ้ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่ระบบป้องกันภัยความมั่นคงในอนาคตได้ดังนี้:
3.1 การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart Security Zone)
แนวคิดเมืองใหม่ใน EECiti ที่มีโครงสร้างดิจิทัลพื้นฐานอยู่แล้ว สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบตรวจจับภัยและการแจ้งเตือนฉุกเฉิน โดยมีเซ็นเซอร์ AI และระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์
3.2 ความร่วมมือกับจีนและ ASEAN
การแลกเปลี่ยนแนวทางกับองค์กรในเซี่ยงไฮ้ เช่น Shibei High-tech Park และ Mosu AI Center เปิดโอกาสให้ไทยเรียนรู้แนวทางการใช้ AI เพื่อความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในบริบทภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความซับซ้อนของข้อพิพาทชายแดน
4. กรณีศึกษา: การปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา
ในกรณีปะทะที่ภูมะเขือ–พระวิหาร หากมีระบบ AI ที่ทำงานร่วมกับโดรน UAV, กล้องอินฟราเรด, และข้อมูลการสื่อสารในพื้นที่ อาจสามารถ:
เตือนล่วงหน้าได้เมื่อพบความเคลื่อนไหวผิดปกติ
วิเคราะห์โอกาสการเกิดการปะทะในแต่ละจุด
จัดลำดับความเสี่ยงเพื่อวางแผนกำลังพลและการทูตอย่างมีประสิทธิภาพ
ป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในระดับระหว่างประเทศจากข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือน
5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ด้านความมั่นคงระดับชาติ โดยใช้แบบจำลองจากงานวิจัยของ Mosu AI Foundation
ตั้งศูนย์วิเคราะห์ความมั่นคงเชิงคาดการณ์ใน EEC เพื่อเชื่อมโยงกับพื้นที่ชายแดน
สร้างความร่วมมือทางวิชาการและเทคโนโลยีกับจีน–ASEAN โดยเน้นการพัฒนาร่วมด้าน AI ด้านภูมิรัฐศาสตร์
ผลักดันกฎหมายความมั่นคงดิจิทัล เพื่อรองรับการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและตรวจสอบได้
6. สรุป
AI กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันภัยความมั่นคงของประเทศในยุคข้อมูลข่าวสาร การเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยี AI กับระบบราชการและความร่วมมือระหว่างประเทศ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถป้องกันและตอบสนองต่อภัยคุกคามชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรณีศึกษาไทย–กัมพูชาถือเป็นบทเรียนที่แสดงให้เห็นว่าการพัฒนา AI ไม่ใช่เพียงเพื่อเศรษฐกิจ แต่รวมถึงการรักษาอธิปไตยและสันติภาพระยะยาวด้วย
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การเมือง
Top 5 ข่าวการเมือง ![]()
- เด้ง ! 2 อธิบดีที่ดิน-อธิบดีปภ.โยกตั้งพ่อเมืองจัดทัพลุยศึกเลือกตั้ง 5 ส.ค. 2568
- ครม.ดันผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทราขึ้นอธิบดีกรมที่ดิน เด้ง "บุญสงค์" ปลัดแรงงานเข้ากรุ 5 ส.ค. 2568
- ครม.ไฟเขียว “การพิสูจน์สิทธิที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ” ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ด้าน “มหานิยม เวชกามา ” สุดปลื้มฝันสำเร็จ!! 5 ส.ค. 2568
- กองทัพภาคที่ 2 ยันพื้นที่ "ช่องอานม้า" อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย "มาลี" แถลงประท้วงทันทีจี้รื้อถอนลวดหนาม 5 ส.ค. 2568
- "ดร.มหานิยม" เผยครม.อนุมัติการครอบครองที่ดินของวัดในพื้นที่ของรัฐเพื่อออกโฉนดเป็นที่วัดแล้ว 5 ส.ค. 2568
ข่าวในหมวดการเมือง ![]()
“ดร.นิยม” ร่วมไว้อาลัยอดีตนายอำเภอวาริชภูมิ แสดงความอาลัยแด่ครอบครัวผู้วายชนม์ 21:56 น.
- กองทัพบกยืนยัน "ไม่ได้ถอย" จากปราสาทตาควาย ชี้เป็นยุทธวิธีการรบ 21:15 น.
- กองทัพอากาศแจ้งพบโดรนลอบบินสำรวจฐานทัพ-หน่วยงานรัฐ เข้าข่าย "จารกรรม" โทษสูงสุดถึงประหาร 21:07 น.
- "วราวุธ" กำชับ ทีม ศรส.-พม.บุรีรัมย์ ช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวทหารเสียชีวิต อยู่กระต๊อบ ไม่มีน้ำ-ไฟฟ้าใช้ 20:25 น.
- "ดร.วราภัสร์" ปธ.กมธ.การพัฒนาสังคมฯ นำคณะลงพื้นที่ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนสุรินทร์ 20:00 น.