วันอาทิตย์ ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2568 11:16 น.

ภูมิภาค

อ้างเฟสปลอม ผลสอบไม่ผิด เจ้าวัดลำทับแชทลามกสามเณร

วันอังคาร ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562, 20.25 น.
จากกรณีที่พระสุนทร สิริภัทฺทชโย พร้อมด้วยพระลูกวัด ในอำเภอลำทับจ.กระบี จำนวน รวม3 รูป ได้เข้าร้องเรียนต่อ เจ้าคณะอำเภอลำทับ และเจ้าคณะจังหวัดกระบี่  เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา   ว่า  พระอิทธิพล  ภูริปฺญโญ  เจ้าอาวาสวัดลำทับ และมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบล มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม แชทข้อความ ที่ไม่เหมาะสม กับพระและสามเณร เช่น ใช้ข้อความแทะโลม และคุกคามทางเพศ โดยนำหลักฐานการแชทข้อความผ่านทาง เฟสบุ๊ค และไลน์  ด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม เป็นการละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชนอย่างร้ายแรง มอบให้แก่พระศรีรัตนสุธี  เจ้าคณะอำเภอลำทับ นอกจากนี้พระสุนทร ระบุอีกว่า  ยังมีพฤติกรรม กล่าวหาให้ร้าย พระที่อยู่ภายใต้การปกครอง  ว่ามีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด  แต่หลังจากจนท.ตรวจสอบแล้วก็ไม่เป็นความจริง จึงได้เข้ามาร้องเรียนให้เจ้าคณะอำเภอให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเจ้าอาวาสดังกล่าว ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะตำบลผู้ปกครอง มีชาวบ้านส่วนหนึ่งเคารพนับถือ  แต่กลับปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ตามสมณวิสัย มีพฤติกรรมก้าวร้าว ใช้วาจาหยาบคายกับชาวบ้าน เป็นที่เสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา เป็นเหตุนำมาซึ่งวิกฤติศรัทธา เป็นที่ติดเตียนของประชาชน   
 
ความคืบหน้าวันที่ 22 ต.ค.62  ที่ห้องประชุมสภาวัฒนธรรมจังหวัดกระบี่ พระวิมล  ธรรมคณี  เจ้าคณะจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วย คณะสงฆ์ ที่ได้รับการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยคณะกรรการมีความเห็น โดยสรุปดังนี้ ประเด็นที่มีการร้องเรียนขับไล่พระลูกวัดโดยมิชอบนั้น ถือว่าไม่เป็นความผิด เนื่องจากการว่ากล่าวตักเตือน พระลุกวัดภายใต้ปกครองนั้น  เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ ในฐานะเจ้าคณะปกครองสงฆ์ ตามกฎมหาเถรสมาคม และไม่มีเจตนาขับไล่พระลูกวัด แต่อย่างใด 
 
ประเด็นต่อมาเรื่องการใช้งบประมาณของวัดไม่โปร่งใส ในการเบิกจ่ายเงินของวัด การบริหารเงินงบประมาณ คณะกรรมการมีความเห็นว่า ผู้ร้องไม่มีส่วนได้เสียใดๆ ที่เกิดขึ้น ทางคณะกรรมการจึงไม่มีอำนาสอบสวน  ขณะที่ผู้ถูกร้องก็นำเอกสารและพยานบุคคลมาแสดงต่อที่ประชุม เป็นไปตามระเบียบราชการ 
 
ส่วนประเด็นที่ มีการร้องเรียนว่า แชทข้อความทางเฟซบุ๊ค ด้วยถ้อยคำที่ ไม่เหมาะสมกับสามเณร เป็นการละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชนอย่างร้ายแรง ทางผู้ถูกร้องได้มีการชี้แจงว่าเป็นเฟสปลอม  และนำเฟสตัวจริงที่ใช้ในปัจจุบันมาแสดง โดยข้อความที่มีการร้องเรียนมานั้นไม่สามารถระบุที่มาที่ชัดเจนได้ เป็นการส่งต่อๆกันมา และคณะสงฆ์ก็ไม่มีอำนาจสืบค้น  จึงถือว่าไม่มีความผิด  
 
ทั้งนี้ทางคณะกรรมการมีความเห็นโดยสรุป ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องไม่มีความผิดตามพระธรรมวินัย และทำให้เกิดความความเสื่อมเสียต่อตัวผู้ร้อง  จึงได้เสนอให้ทั้งสองฝ่ายยุติ ข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นต่อกัน โดยให้ผู้ร้องทั้ง3 ทำการขอขมา ผู้ถูกร้องต่อไป
 
ขณะที่พระสุนทร  หนึ่งในผู้ร้อง กล่าวว่า  คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นเป็นพรรคพวกกับ ทางผู้ถูกร้อง เชื่อว่ามีการช่วยเหลือกันให้พ้นผิด จึงไม่สามารถยอมรับได้ โดยเฉพาะเรื่องการแชทข้อความ ของผู้ถูกร้อง จะต้องมีการพิสูจน์ให้ชัดเจน ซึ่งหลังจากจะนี้จะเดินหน้าร้องขอความเป็นธรรมต่อเจ้าคณะภาคต่อไป

หน้าแรก » ภูมิภาค