วันพฤหัสบดี ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568 13:36 น.

กทม-สาธารณสุข

สสส.หนุนชุมชนกำแพงงามเชียงใหม่ ตั้ง “อาสาสมัครสุขภาพชาติพันธุ์ป้องกันโควิด-19”

วันพฤหัสบดี ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 10.07 น.

สสส.หนุนชุมชนกำแพงงามเชียงใหม่ ตั้ง “อาสาสมัครสุขภาพชาติพันธุ์ป้องกันโควิด-19” ดูแลผู้ป่วยชาวอาข่า ให้เข้าถึงสวัสดิการและการรักษาโควิด-19 อย่างมีคุณภาพ 

ช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา นอกจากกลุ่มคนไทยที่ต้องได้รับการดูแลรักษาเมื่อพบเชื้อ หรือการคัดกรองเฝ้าระวังแล้ว กลุ่มชาติพันธุ์ ถือเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม  

ชุมชนกำแพงงาม ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เป็นชุมชนที่มีกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า อาศัยอยู่จำนวนมาก และเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ดังนั้นเมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ขึ้น การสื่อสารเพื่อคัดกรอง รักษา ดูแลป้องกัน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ในพื้นที่กำแพงงาม จึงเกิดเป็น“อาสาสมัครชาติพันธุ์ป้องกันโควิด-19” โดยจัดตั้งโครงสร้างทีม 3 แบบ ได้แก่ กลุ่มแกนนำ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) พื้นที่กลางที่เป็นคนเมือง และกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นกลไกในการสื่อสาร และลงพื้นที่ชุมชนพร้อมเจ้าหน้าที่ในการนำอุปกรณ์การคัดกรองโรคโควิด-19 ลงตรวจคนในชุมชน ตามโครงการการพัฒนารูปแบบและแนวทางการทำงาน เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชาชนในการสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ กรณีการแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  

น.ส.กาญจนา กองเกิด อสม. ชุมชนกำแพงงาม ในฐานะผู้ดูแลอาสาสมัครสุขภาพชาติพันธุ์ กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาว่า เมื่อเกิดการระบาดในพื้นที่ ทำให้ประชากรทุกกลุ่มได้รับผลกระทบ เนื่องจากชุมชนแห่งนี้เป็นพื้นที่แออัด มีจำนวนประชากรต่อพื้นที่สูง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ประกอบกับประชากรในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ จึงเกิดปัญหาด้านการสื่อสาร และไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการ หรือคัดกรองผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่มีอาการป่วย มักจะไม่กล้าคุยกับ อสม. หรือบุคคลที่มาจากต่างพื้นที่  

ขณะเดียวกัน แม้การระบาดในพื้นที่รอบนอกเริ่มชะลอตัว แต่ในกลุ่มชาวอาข่า ก็ยังพบผู้ป่วยอยู่ ทำให้คณะกรรมการและ อสม. ที่ดูแลป้องกันการระบาด ต้องปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อให้ชาวบ้านกลุ่มนี้ เข้าถึงระบบบริการทางสุขภาพที่ดีขึ้น จึงได้เริ่มต้นเชิญตัวแทนกลุ่มชาวอาข่าที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ “อาสาสมัครชาติพันธุ์ป้องกันโควิด-19” ด้วยการพาไปร่วมอบรมให้ความรู้ในเรื่องเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้องกลับมายังชุมชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงการให้ความสำคัญเรื่องสุขภาวะที่ดี คือ อุปกรณ์ที่จำเป็นต่าง ๆ

“เราได้รับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคัดกรองและเฝ้าระวัง ป้องกันโรคโควิด-19 ของชุมชน จาก สสส. อย่างต่อเนื่อง พร้อมแลกเปลี่ยนการดำเนินงานระหว่างชุมชนที่ร่วมดำเนินโครงการอีกด้วย” น.ส.กาญจนา กล่าว

ขณะที่ น.ส.อารยา อาเคอ แกนนำอาสาสมัครสุขภาพชาติพันธุ์ป้องกันโควิด-19 ซึ่งรับหน้าที่เป็นล่าม เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าร่วมโครงการนี้ว่า มาจากปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างชาวอาข่า กับกลุ่ม อสม. ที่เข้ามาในพื้นที่ เพราะชาวอาข่าไม่สามารถพูดคุยภาษาไทยได้ ประกอบกับตนเองที่เป็นคนรุ่นใหม่ สามารถสื่อสารได้ทั้งสองภาษา จึงเข้ามาเป็นคนกลางในการทำความเข้าใจร่วมกันให้มากขึ้น โดยมีแรงบันดาลใจในการทำงาน คือ ต้องการให้ชาวอาข่ามีความรู้เรื่องโควิด-19 ให้มากขึ้น และสามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาได้ 

โดยกระบวนการทำงานนั้น เริ่มจากนำชุดตรวจ ATK ไปตรวจคัดกรองกลุ่มชาวอาข่าที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีอาการต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อ พร้อมกับแจ้งสิทธิการรักษาพยาบาลให้รับทราบ เพื่อให้เข้ารับการตรวจคัดกรองจากโรงพยาบาลซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เป็นผู้ติดเชื้อสีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง หากเป็นผู้ป่วยสีเขียวที่กลับมารักษาตัวที่บ้าน ก็จะให้ความรู้ แนะนำเรื่องของการพักอาศัยในบ้าน การดูแลตนเอง พร้อมจัดสรรยา หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ ซึ่งองค์ความรู้ต่างๆ ได้มาจากการเข้าร่วมโครงการของ สสส.

นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่ประกบ อสม. ที่ดูแลชุมชน เพื่อเป็นล่ามในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกับชาวอาข่า ว่า โควิด-19 เป็นโรคที่ไม่ได้มีความร้ายแรงมาก เพียงแค่ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ไม่เข้าไปในสถานที่แออัด ก็สามารถป้องกันตนเองจากโรคได้ จากเดิมที่ชาวอาข่า มีผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนมากและยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ เมื่อได้พูดคุยสื่อสารทำให้การระบาดลดลง ทุกคนสามารถดูแลตนเองได้ดีขึ้น บ้านเรือนได้รับการจัดการเป็นอย่างดี อากาศถ่ายเท ไม่แออัด ทำให้การติดเชื้อเริ่มลดลงตามลำดับ รวมถึงยังได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 ด้วย และหากผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ก็จะไปทำหน้าที่เป็นล่าม เพื่อช่วยสื่อสารให้เกิดความเข้าใจกันระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ที่ดูแลมากขึ้น

ด้าน น.ส.นิตยา ไชยบุญเป็ง ผู้ช่วย อสม. ได้กล่าวถึงบทบาทในการดูแลกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ว่า ได้ให้ความช่วยเหลือในการทำความสะอาดและพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ภายในห้องของศูนย์กักตัว ดูแลจัดการเรื่องการทิ้งขยะ มีหน้าที่ไปรับยาที่โรงพยาบาลแทนผู้ป่วย ดูแลลูกหลานหรือญาติของผู้ป่วยที่ถูกกักตัว เนื่องจากต้องอยู่ห่างกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความกังวลขึ้นได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการสอบถามความเป็นอยู่ผ่านทางโทรศัพท์ หรือหากบ้านไหนมีลูกหลานที่อายุน้อยและห่างจากผู้ใหญ่ ก็จะนำมาดูแลที่บ้านของตนเอง โดยมี อสม.ประมาณ 3 คน สลับสับเปลี่ยนกันทำหน้าที่ดังกล่าว 

พร้อมระบุว่าการทำงานครั้งนี้ ได้รับความรู้จาก สสส. โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และผู้ป่วยที่ติดเตียง รวมถึงการแยกทิ้งขยะติดเชื้ออย่างถูกวิธี พร้อมกับให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยไปด้วย  

 
“ส่วนตัวมีความภูมิใจที่เข้ารวมโครงการนี้ ทั้ง ๆ ที่ลูกก็บอกว่าทำแบบนี้ อาจติดเชื้อได้ ซึ่งตนเองก็เคยติดแล้ว แต่คิดว่าเราอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ต้องช่วยเหลือกัน กลายเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกัน ครอบครัวผู้กักตัวเวลาเจอตนเองก็จะไหว้ มีของ เอาขนมมาให้ มาขอบคุณที่ไปช่วยดูลูกให้ ถือเป็นสิ่งที่ภูมิใจมาก” น.ส.นิตยา กล่าวทิ้งท้าย

หน้าแรก » กทม-สาธารณสุข