วันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 16:51 น.

กทม-สาธารณสุข

"องค์กรแพทย์"  ชี้ "เงินบำรุง" ติดลบ เหตุกองทุน สปสช.จ่ายค่ารักษาพยาบาลต่ำกว่าจริง  

วันเสาร์ ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2568, 14.48 น.

ประธานองค์กรแพทย์ รพ.พุทธชินราช พิษณุโลก ชี้ "เงินบำรุง" โรงพยาบาลหลายแห่งลดลงถึงขั้นติดลบ เกิดจากภาระงานและต้นทุนค่ารักษาสูงขึ้นหลังเพิ่มนวัตกรรมการรักษา ขณะที่อัตราเบิกจ่ายคืนโดยเฉพาะจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง 

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2568 พญ.รัชริน เบญจวงศ์เสถียร ประธานองค์กรแพทย์ โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก กล่าวถึงสถานการณ์โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องทางการเงิน ว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ "เงินบำรุงโรงพยาบาล" ซึ่งเป็นเงินนอกงบประมาณที่ได้มาจากการดำเนินงานของโรงพยาบาล

หลักๆ คือ รายได้จากการรักษาพยาบาลผู้ป่วยสิทธิข้าราชการ ประกันสังคม หรือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยเงินบำรุงจะครอบคลุมค่าใช้จ่าย 9 ด้าน ได้แก่
1. ค่าวัสดุ เวชภัณฑ์ ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นสำหรับผู้ปวย
2. ค่าบำรุงรักษาซ่อมแชม อาคาร เครื่องมือทางการแพทย์และระบบต่างๆ ที่เสียหายชำรุดอย่างเร่งด่วน
3. ค่าจ้างเหมาบริการ ค่าจ้างพนักงานรายเดือน/รายวัน
4. ค่าตอบแทนภาระงานนอกเวลา (OT)
5. ค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (P4P)
6. ค่าฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากร/จัดการประชุมต่างๆ
7. ค่ากิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล
8. การจัดซื้อ/ปรับปรุงเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วน
9. ค่าดำเนินการระบบงานต่างๆ เช่น งานไอที เวชระเบียน โดยมีระเบียบการใช้จ่ายเงินบำรุงโรงพยาบาล เป็นแนวทางควบคุมกำกับให้เกิดโปร่งใสและตรวจสอบได้

" สาเหตุหลักที่เงินบำรุงโรงพยาบาลลดลง เนื่องจากเงินบำรุงส่วนใหญ่มาจากการจัดสรรแบบเหมาจ่ายรายหัวของ สปสช. ซึ่งแบ่งจ่ายหลายกองทุนย่อยมากเกินจำเป็น

จึงมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการจัดสรรของ สปสช. และงบกลางที่ได้มาในปี 2567 จัดสรรไปหน่วยบริการใด ขณะที่ภาระงานและต้นทุนการรักษาพยาบาลในปัจจุบันสูงขึ้นจากเทคโนโลยีและการพัฒนาความก้าวหน้าในการรักษาโรคต่างๆ ทำให้อัตราที่ สปสช. จ่ายคืนโรงพยาบาลไม่สอดคล้องกับต้นทุนค่ารักษาพยาบาลที่แท้จริง

โรงพยาบาลจึงขาดสภาพคล่องจนส่งผลกระทบทั้งการให้บริการประชาชนและการจ่ายค่าตอบแทนบุคลากร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บุคลากรลาออกไปอยู่ภาคเอกชน" พญ.รัชรินกล่าว

พญ.รัชรินกล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง สปสช.ควรนำงบประมาณที่ได้รับ มาจัดสรรให้โรงพยาบาลต่างๆ เป็นค่ารักษาพยาบาลให้เพียงพอกับต้นทุนก่อนที่จะนำไปจัดสรรในภารกิจอื่น

นอกจากนี้ แพทย์ พยาบาล สหวิชาชีพและบุคลากรทุกคน ต้องร่วมมือกันเพื่อเพิ่มรายรับเงินบำรุง โดย

1. เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ การตรวจรักษา ลดระยะเวลารอคอย และทำหัตถการที่สามารถเบิกค่าบริการ เพื่อเพิ่มรายได้จากการเรียกเก็บเงินส่วนกลางหรือกองทุนต่างๆ

2. บันทึกเวชระเบียนให้ครบถ้วนถูกต้อง เพื่อเรียกเก็บค่าบริการจากกองทุนต่างๆ ได้ครบถ้วน

3. เปิดคลินิกบริการพิเศษ เช่น คลินิกมะเร็ง คลินิกโรคเรื้อรัง เพื่อให้สามารถบริการผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้นและรวดเร็ว ช่วยให้ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนพิเศษหรือโครงการนำร่อง

4. พัฒนาระบบงาน คุณภาพการบริการผู้ป่วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาต่อโรงพยาบาล ขณะเดียวกันต้องลดรายจ่าย โดยสั่งจ่ายยาและตรวจแล็บอย่างเหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อน, ลดระยะเวลาการนอนรักษาในโรงพยาบาล โดยสร้างเครือข่ายการดูแลต่อเนื่อง เช่น ส่งกลับโรงพยาบาลชุมชนหรือดูแลที่บ้าน (Home Ward) ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในโรงพยาบาล, เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการ โดยจัดระบบเวรหรือห้องตรวจให้เหมาะสม ใช้ระบบการปรึกษาทางไกล/การแพทย์ทางไกล ให้ความรู้ผู้ป่วยในการดูแลตนเอง เป็นต้น

ขณะเดียวกันเมื่อวานนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดแถลงด่วน ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา 'แพทย์ลาออก' จากโรงพยาบาลรัฐ โดยเน้นว่าจะมีการเพิ่มเงินสิทธิพิเศษต่างๆ โดยนำงบมาจาก 'เงินบำรุง' โดยนพ.ภูวเดช สุระโคตร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(ด้านบริหาร) ยืนยันว่ายังคงสามารถจัดสรรได้ หากกองทุนจ่ายเงินเข้ามาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

หน้าแรก » กทม-สาธารณสุข