วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568 05:53 น.

อาชญากรรม

รวบหนุ่มหลอกกู้ยืมเงินลงทุนทางโซเซียล ขณะกดเงินกลางห้างดังเชียงใหม่

วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 10.37 น.

วันที่ 24 พย 68 พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ยุทธนา แก่นจันทร์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ศปอส.ภ.จว.เชียงใหม่ ผลการปฏิบัติ ได้จับกุมผู้ต้องหารายสำคัญเกี่ยวกับการหลอกประชาชนกู้เงินและหลอกลงทุนทางโซเชียล โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมได้คาตู้เอทีเอ็มในห้างดังของเชียงใหม่

พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5, ได้เปิดเผยว่าก่อนเกิดเหตุ นางสาวธัญณิชา (ปิดนามสกุล) ผู้เสียหาย มีความประสงค์ที่จะกู้เงิน จึงได้ค้นหาข้อมูลในสื่อออนไลน์ จนกระทั่งพบกับผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ค ชื่อ “จินดา” ประกาศให้กู้เงินในแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊คในลักษณะเป็นสาธารณะ ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ผู้เสียหายจึงได้ติดต่อไปเพื่อสอบถามรายละเอียด โดยผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊คดังกล่าวได้ให้ติดต่อกับผู้ใช้บัญชีไลน์ ชื่อ “ผ.จ.ก.สินเชื่อบุคคล” ซึ่งผู้ใช้บัญชีไลน์ดังกล่าวได้แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน โดยอ้างว่าการกู้เงินนี้จะมีค่าดำเนินการต่าง ๆ เป็นเหตุให้ผู้แจ้งหลงเชื่อและได้โอนเงินไปให้บุคคลดังกล่าวผ่านบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชื่อบัญชี นายสิทธิชัย (ปิดนามสกุล)จำนวน 31 ครั้ง ช่วงตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค.2568-30 ต.ค.2568 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 629,310 บาท ต่อมาผู้เสียหายได้ปรึกษากับบุคคลข้างเคียงจึงได้ทราบว่าถูกหลอกลวง จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย

ภายหลังจากที่ได้รับแจ้ง เจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวนจึงได้ตรวจสอบบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา  ชื่อบัญชี นายสิทธิชัย (ปิดนามสกุล) พบว่าภายหลังจากที่ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายแล้ว มีการทำธุรกรรมถอนเงินออกจากบัญชีจำนวนหลายครั้งในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อทราบดังนั้นเจ้าพนักงานตำรวจจึงได้ขอตรวจสอบภาพหน้าตู้เบิกถอนเงินสด (ATM) ธนาคารกรุงไทย สาขาเมญ่า-เชียงใหม่ และ สาขาเซ็นทรัล เชียงใหม่ ซึ่งมีการทำรายการถอนเงินจากบัญชีพบว่าผู้ที่มาทำธุรกรรมถอนเงินเป็นชายไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด สวมใส่หน้ากากอนามัยปกปิดใบหน้า ลักษณะตำหนิรูปพรรณตรงกัน จึงเชื่อว่าบุคคลที่ได้มาทำธุรกรรมถอนเงินในแต่ละครั้งเป็นบุคคลคนเดียวกัน

เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจได้ลงพื้นที่เพื่อขอตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ บริเวณที่ตู้เบิกถอนเงินสด (ATM) ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัล เชียงใหม่ ตั้งอยู่ในช่วงวันที่ 30 ต.ค.2568 เวลาประมาณ 15.32 น. ซึ่งเป็นเวลาที่มีรายการถอนเงินจากบัญชี จำนวน 20,000 บาท นั้น ได้พบว่ามีบุคคลไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด สวมใส่เสื้อลายขวาง กางเกงขาสั้นสีดำ สวมใส่หน้ากากอนามัย ลักษณะตำหนิรูปพรรณตรงกันกับบุคคลตามภาพถ่ายหน้าตู้เบิกถอนเงินสด (ATM) ข้างต้น เป็นผู้เข้ามาทำธุรกรรม และจากการสืบสวนทางเทคนิค ประกอบกับการตรวจสอบกล้องวงจรปิด และคำให้การพยาน ทราบภายหลังว่า ผู้ก่อเหตุ คือนายชัยณรงค์ (ปิดนามสกุล)

จากการตรวจสอบข้อมูลประวัติการกระทำความผิดของ นายชัยณรงค์ (ปิดนามสกุล) พบประวัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน จำนวนทั้งสิ้น 14 คดี และมีหมายจับที่มีผลบังคับใช้ทั้งสิ้น รวม 8 หมายจับ เป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทั้งหมดทั่วประเทศ

เมื่อการกระทำความผิดครั้งนี้ นายชัยณรงค์ฯ ได้มีส่วนรู้เห็นในการหลอกลวงโดยไม่ได้ระบุเป้าหมายของเหยื่ออย่างเฉพาะเจาะจง โดยได้ใช้บัญชีธนาคารของผู้อื่น (บัญชีม้า) มาเป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหาย ก่อนที่จะถอนเงินออกจากบัญชีในระยะเวลาใกล้เคียงกัน จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อปกปิด หรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มาของเงินที่ได้จากการกระทำความผิดมูลฐาน (ฉ้อโกงประชาชน) ดังนั้นการกระทำของ นายชัยณรงค์ฯ จึงเป็นความผิดฐาน “ตัวการฟอกเงิน, ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

ในส่วนของ นายสิทธิชัย (ปิดนามสกุล) เจ้าของบัญชีธนาคารที่ นายชัยณรงค์ฯ ใช้เป็นบัญชีรับเงินจากการกระทำความผิดนั้น บัญชีธนาคารเป็นสิ่งที่มีไว้ใช้เพื่อตน การส่งมอบบัญชีธนาคารให้บุคคลอื่นซึ่งไม่ปรากฎความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทางครอบครัวและความสัมพันธ์ทางอื่น จึงถือเป็นพฤติการณ์ที่รู้หรือควรจะรู้ว่าบุคคลนั้นจะใช้บัญชีธนาคารของตนไปกระทำความผิดกฎหมาย ทั้งยังเป็นการให้ความสะดวกหรือช่วยเหลือ นายชัยณรงค์ฯ ในการกระทำความผิด จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นขอศาลจังหวัดเชียงใหม่ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องและหมายค้นสถานที่ที่เชื่อว่าผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่

ต่อมาวันที่ 24 พ.ย. 68 เวลาประมาณ 07.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ศปอส.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้นำหมายค้นศาลจังหวัดเชียงใหม่เข้าค้นห้อง 306 ชั้น 3 คอนโด ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ พบชายชาวไทย มีตำหนิรูปพรรณตรงกับบุคคลตามหมายจับกำลังพักอาศัยอยู่ห้องดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแสดงตัวขอตรวจสอบและยืนยันตัวบุคคล ปรากฎว่าบุคคลดังกล่าวคือ นายชัยณรงค์ (ปิดนามสกุล) อายุ 45 ปี อยู่ ต.นครปฐม อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ซึ่งตรงกับบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ จริง สอบถามนายชัยณรงค์ฯ รับว่าตนเป็นบุคคลตามหมายจับดังกล่าวจริง และยังไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับดังกล่าวมาก่อนจริง

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการจับกุมในความผิดฐาน “ตัวการฟอกเงิน, ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” พร้อมตรวจยึดของกลาง คอมพิวเคอร์โน๊ตบุ๊ค โทรศัพท์มือถือ บัตรกดเงินสด และสมุดบัญชีธนาคาร รวม 22 รายการ ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่ปิง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

หน้าแรก » อาชญากรรม