“สุริยะ” ฟิตกางแผนงานนโยบายเร่งด่วน พร้อมดูแลภาคธุรกิจอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ระบุจ่อถกคลังให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี  ขณะที่เล็งหารือส.อ.ท.เดินหน้าการค้าการลงทุนส.ค.นี้

 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Industry Expo 2019 ว่า จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ซบเซาในช่วงที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับภาคเอกชนโดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เพื่อหาแนวทางมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยขณะนี้แผนงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมวางไว้ได้แก่ การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อน การช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมในโรงงานและการผลิตต่างๆเช่น อุตสาหกรรมพลาสติกทำอย่างไรจะเกิดการนำมารีไซเคิลเพื่อลดมลภาวะอย่างเร่งด่วน

 

สำหรับเรื่องของการลงทุนนั้นการพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ถือเป็นนโยบายที่ดีซึ่งที่ผ่านมาประชาชนในภูมิภาคต่างๆ เห็นว่าควรจะมีกระจายไปยังพื้นที่อื่นๆนอกเหนือจากภาคตะวันออกในบริเวณ 3 จังหวัด(ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา)เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐคงจะมาพิจารณาดำเนินการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคเพิ่มขึ้น รวมถึงการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่จะพัฒนาต่อยอดการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น อุตสาหกรรมอ้อยก็จะมุ่งไปสู่เศรษฐกิจชีวภาพ หรือ Bio Economy เป็นต้น

 

“ เอสเอ็มอีนั้นถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากกระทรวงอุตสาหกรรมคงจะต้องมาดูว่าจะมีมาตรการอะไรเพิ่มเติมในการช่วยเหลือและลดอุปสรรคของธุกิจให้เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมเองก็มีมาตรการดูแลระดับหนึ่งโดยอาจจะต้องหารือกับคลังในการเพิ่มมาตรการช่วยเหลือเพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยีมากขึ้นและต้นเดือนส.ค.ก็จะไปหารือกับส.อ.ท.ถึงแนวทางการดำเนินการต่างๆที่จะร่วมกันดูแลเศรษฐกิจ”นายสุริยะกล่าว

 

นายสุริยะ กล่าวว่า ส่วนของราคาอ้อยขั้นต่ำที่นโยบายรัฐบาลเคยระบุไว้ว่าจะให้มีราคา1,000 บาทต่อตันนั้นเรื่องนี้คงจะต้องมาพิจารณาภาพรวมก่อนเนื่องจากการช่วยเหลือและสนับสนุนจะต้องไม่ขัดหลักองค์การการค้าโลก(WTO) 

 

อย่างไรก็ตามค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ระบุให้หารือกันในคณะกรรมการไตรภาคีให้จบเมื่อได้ข้อยุติอย่างไร จึงจะดำเนินการเพราะนายกฯเองเป็นห่วง เพราะการขึ้นค่าแรงนั้นจะต้องมองตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำที่อาจกระทบต่อผู้บริโภคได้