เศรษฐกิจ
ชธ.จ่อประกาศประมูลปิโตรเลียมรอบ23 เม.ย.
วันอังคาร ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563, 17.51 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
ชธ.จ่อประกาศประมูลปิโตรเลี ยมรอบ23 เม.ย.
กรมเชื้อเพลิงฯ ลั่นประกาศประมูลแหล่งปิโตรเลี ยมรอบ 23 เม.ย.นี้ หวังเดินหน้าต่อลมหายใจ พัฒนาเศรษฐกิจชาติ ขณะที่เล็งถกหน่วยงานที่เกี่ ยวข้องพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนไทย- กัมพูชา ระบุใช้โมเดลเจดีเอเป็นต้นแบบ
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.)เปิดเผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ กรมฯ จะเดินหน้าเรื่องการพัฒนาแหล่ งปิโตรเลียมตามนโยบายของนายสนธิ รัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ให้เร่งเจรจากับกัมพูชา เพื่อพัฒนาพื้นที่ปิโตรเลียมทั บซ้อนระหว่างกัน โดยกรมฯ จะหารือกับกระทรวงต่างประเทศ ว่าควรจะเดินหน้าอย่างไร ภายในเดือนกุมภาพันธ์ น่าจะมีความชัดเจนว่าการเปิ ดประมูลแหล่งปิโตรเลียมครั้งที่ 23 จะมีการเปิดจำนวนกี่แปลงในอ่ าวไทย หลังจากประเทศไทยไม่ได้เปิดสั มปทานรอบใหม่มายาวนาน 13 ปี ซึ่งการพัฒนาแหล่งปิโตรเลี ยมจะเป็นการนำทรัพยากรธรรมชาติ มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิ จของประเทศให้เกิดการจ้างงานได้ อย่างต่อเนื่อง
"ทั้งการเปิดประมูลปิโตรเลี ยมรอบ 23 และการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนไทย- กัมพูชาจะเป็นการช่วยให้นำทรั พยากรมาพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่ องช่วยการจ้างงาน พัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอุ ตสาหกรรมต่อเนื่องนับเป็นการต่ อลมหายใจในการพัฒนาเศรษฐกิ จของประเทศ หลังจากไทยยังไม่ได้มีการพั ฒนาปิโตรเลียมแหล่งใหม่มายาวนาน 13 ปี" นายสราวุธ กล่าว
นายสราวุธ กล่าวว่า การเปิดให้สิทธิ์สำรวจและผลิตปิ โตรเลียมรอบ 23 ในพื้นที่อ่าวไทย จะเปิดในรูปแบบ ระบบแบ่งปันผลผลิต (PSC) ก่อให้เกิดการลงทุนในการสำรวจขั้ นต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท ส่วนพื้นที่บนบกยังไม่ได้ นำมาเปิดประมูลในรอบนี้ เนื่องจากยังติดกฎหมายด้ านการใช้ที่ดินของทั้งกฎหมายป่ าไม้ กฎหมายของสำนักงานการปฏิรูปที่ ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ที่ระบุว่า ไม่สามารถใช้ประโยชน์ใด ๆ นอกจากการทำการเกษตรเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะประกาศเชิญชวนให้ ประมูลได้ภายในช่วงสงกรานต์เดื อนเมษายนนี้ จะคัดเลือกผู้ชนะได้ภายในปลายปี 2563 และลงนามสัญญาได้ภายในต้นปี 2564 ซึ่งจุดเด่นที่จะดึงดูดการร่ วมลงทุนประมูล ก็คงเนื่องมาจากเทคโนโลยีใหม่ด้ านการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียมที่ เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การขุดเจาะมีโอกาสค้นพบได้ มากกว่าเดิมในอดีต
อย่างไรก็ตามแนวทางการพัฒนาพื้ นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนไทย-กัมพู ชา 26,000 ตารางกิโลเมตร ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลั งงาน ได้เน้นการสร้างประโยชน์ร่วมกั นทั้ง 2 ประเทศ และไม่สูญเสียอธิปไตย ซึ่งกรมฯ เห็นว่าน่าจะนำโมเดลการพัฒนาพื้ นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ ) มาเป็นต้นแบบในการพัฒนา เพราะไม่ได้แบ่งพื้นที่ แต่เป็นแบ่งประโยชน์จากรายได้ ในสัดส่วนเท่ากันฝ่ายครึ่ง ซึ่งโมเดลนี้ได้รับการยกย่องชื่ นชมระดับนานาชาติ และจากการพัฒนาร่วมกันมา 15 ปี ไทยและมาเลเซียก็ได้รายได้ ประเทศละประมาณ 12,000 ล้านบาท/ปี หรือรวมรายได้แต่ละประเทศแล้ วกว่า 180,000 ล้านบาท
ในปัจจุบันภาพรวมการจัดหาปิ โตรเลียมจากแหล่งในประเทศช่วงปี 2562 มีสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศที่ ดำเนินการอยู่ 38 สัมปทาน 48 แปลงสำรวจ แบ่งเป็นแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย 29 แปลง และแปลงสำรวจบนบก 19 แปลง มีการจัดหาปิโตรเลียมในประเทศคิ ดเป็น 40% ของความต้องการใช้ในประเทศ โดยมีปริมาณการผลิตปิโตรเลียมทั้ งก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลว และน้ำมันดิบ คิดเป็นปริมาณรวมอยู่ที่ 821,060 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน แยกเป็นก๊าซธรรมชาติ 3,411 ล้านลูกกาศก์ฟุต/วัน ,ก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ คอนเดนเสต 110,318 บาร์เรล/วัน และน้ำมันดิบ 125,762 บาร์เรล/วัน
โดย กรมเชื้อเพลิงฯ นับเป็นกรมฯ จัดเก็บสร้างรายได้อันดับที่ 4 ของประเทศ ซึ่งปี 2562 รายได้ของรัฐจากการพัฒนาปิ โตรเลียมมีประมาณ 160,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการพัฒนาแหล่งปิโตรเลี ยมใหม่ ๆขึ้นมา ปริมาณปิโตรเลียมที่ผลิตจะลดน้ อยลง และกระทบต่อฐานการผลิตอุ ตสาหกรรมของไทยที่ต้องยอมรับว่ าในการพัฒนา "มาบตาพุด" นั้น เริ่มมาจากการพัฒนาแหล่งก๊ าซธรรมชาติและนำมาสู่อุ ตสาหกรรมต่อเนื่องจนเข้มแข็ งในปัจจุบัน.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่