เศรษฐกิจ
กฟผ.จ่อตั้ง รง.จัดการซากแผงโซลาร์แห่งแรก
วันพฤหัสบดี ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563, 14.58 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
กฟผ.จ่อตั้ง รง.จัดการซากแผงโซลาร์แห่งแรก
กฟผ.จับมือ กรอ. ศึกษาการจัดตั้งโรงงานต้ นแบบกำจัดซากแผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่แห่งแรกในไทย คาดใช้เวลาศึกษา 2 ปี หวังรองรับขยะแผงโซลาร์เซลล์ที่ จะเกิดขึ้นล็อตแรกปี 65 ถึง112 ตัน กลายเป็นขยะสูงขึ้นอนาคต
นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ. ) เปิดเผยภายหลัง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย( กฟผ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมื อกับ กรอ. ศึกษาการจัดตั้งโรงงานต้ นแบบกำจัดซากแผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่แห่งแรกในประเทศไทย
โดยมี น.ส. จิราพร ศิริคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ กฟผ. และนายกัมปนาท รุ่งเรืองชัยศรี ผู้อำนวยการกองบริหารจั ดการกากอุตสาหกรรม กรอ.เป็นสักขีพยาน ว่า กรมฯ จะให้ข้อมูลกับทาง กฟผ.เกี่ยวกับปริมาณแผงโซลาร์ เซลล์และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า( EV) รวมถึงระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ที่จะกลายเป็นขยะในอนาคต เพื่อให้ กฟผ.ได้ทำการศึกษาความเหมาะสมจั ดตั้งโรงงานต้นแบบกำจัดหรือรี ไซเคิลขยะดังกล่าว ซึ่งการศึกษาจะต้องประกอบไปด้ วยการประเมินตัวเลขปริมาณขยะ, โรงกำจัด,โรงรีไซเคิล, ขนาดโรงงาน งบประมาณและความคุ้มทุน เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาภายใน 2 ปี นับจากวันนี้ ส่วนผู้ลงทุนสร้างโรงงานกำจั ดแผลโซลาร์และแบตเตอรี่ดังกล่ าวทาง กฟผ.จะเป็นผู้พิ จารณาความเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้รัฐบาลมีแผนการส่งเสริ มการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิ ตย์ให้ได้ 15,574 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ าภายในประเทศให้ได้ 1.2 ล้านคัน ภายในปี 2579 ซึ่งจะทำให้เกิดซากเซลล์แสงอาทิ ตย์และอุปกรณ์ประกอบ และซากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้ าจำนวนมาก และเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2558 นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการ โดยได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการจั ดการขยะที่เกิดจากเซลล์แสงอาทิ ตย์ในการผลิตไฟฟ้า โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเรื่ องดังกล่าวเสนอเป็นกิ จกรรมในแผนยุทธศาสตร์การจั ดการของเสียของกระทรวงอุ ตสาหกรรม
โดยปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มี เทคโนโลยีและการบริหารจั ดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่อย่างเป็ นระบบและครบวงจร ซึ่งอายุการใช้ งานของแผงโซลาเซลล์ โดยเฉลี่ยประมาณ 20 ปี คาดว่าในปี 2565 จะมีซากจากแผงโซลาเซลล์เกิดขึ้น 112 ตัน และจะเพิ่มเป็น 1.55 ล้านตัน ในปี 2600 ซึ่งหากไม่มีการวางแผนที่ เหมาะสม นอกจากจะส่งผลกระทบด้านสิ่ งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแล้ว ยังจะเป็นปัญหาอุปสรรคต่ อแผนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทิตย์และการใช้ ยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ตามนโยบายรัฐบาล
นายประกอบ กล่าวว่า ตัวเลข ณ เดือน ก.ย. 2562 ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลั งงาน (กกพ.) มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ เซลล์และขายไฟฟ้าเข้าระบบ(COD) แล้ว 2,882 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นภาคเหนือ 626 เมกะวัตต์ ,ภายตะวันออกเฉียงเหนือ 465 เมะวัตต์,ภาคกลาง 1,750 เมกะวัตต์ และภาคใต้ 41 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ยังไม่นับรวมแผงโซลาร์ เซลล์จากผู้ผลิตไฟฟ้าใช้ เองแบบไม่ขายเข้าระบบ นอซึ่งพบว่าช่วงปลายของแผน PDP 2018 จะมีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ รวมเป็น 6,000 เมกะวัตต์ ในปี 2580 ดังนั้นในอนาคตจะมี ขยะจากแผงโซลาร์เซลล์อี กจำนวนมากที่ต้องจำกัด
โดยปัจจุบันขยะที่เป็ นพวกแบตเตอรี่ตะกั่วและแบตเตอรี่ จากรถยนต์ไฮบริด ตั้งแต่ปี 2558-2536 มีจำนวน 1,300 ตัน ได้ใช้วิธีกำจัดโดยการส่ งออกไปยังโรงงานรีไซเคิ ลในประเทศเบลเยียม สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ส่วนแผงโซลาร์เซลล์นั้น ยังไม่มีประเทศใดตั้งโรงงานกำจั ดขึ้นเป็นการเฉพาะ เพราะปัจจุบันที่ใช้อยู่ยังไม่ สิ้นสุดอายุการใช้งาน
นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย( กฟผ.) กล่าวว่า สำหรับการลงนามในครั้งนี้ กรอ. จะให้การสนับสนุนด้านข้อมู ลแนวโน้มซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่ในประเทศไทย, แนวทางการเก็บรวบรวมซากแผงเซลล์ แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่จากภาคอุ ตสาหกรรม และการศึกษาทำเลที่ตั้งที่ เหมาะสมต่อการพัฒนาโรงงานบริ หารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่ต้ นแบบของประเทศไทย
สำหรับส่วน กฟผ. จะรับผิดชอบ ด้าน ศึกษาเทคโนโลยีการจั ดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ เหมาะสมสำหรับประยุกต์ใช้กั บโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์ แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้ นแบบของประเทศไทย, ศึกษาความเป็นไปได้ในการพั ฒนาโรงงานบริหารจั ดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทย ควบคู่กับการพิ จารณาตามแนวทางการเก็ บรวบรวมซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่จากภาคอุ ตสาหกรรมตามข้อมูล กรอ. และ ศึกษาเทคโนโลยีและแนวทางการบริ หารจัดการซากแบตเตอรี่ ที่อาจสามารถนำมาบูรณการกั บโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์ แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้ นแบบของประเทศไทยอนาคต
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่