วันศุกร์ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567 12:46 น.

เศรษฐกิจ

กฟผ.จ่อตั้ง รง.จัดการซากแผงโซลาร์แห่งแรก

วันพฤหัสบดี ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563, 14.58 น.
กฟผ.จ่อตั้ง รง.จัดการซากแผงโซลาร์แห่งแรก
 
 
 
กฟผ.จับมือ กรอ. ศึกษาการจัดตั้งโรงงานต้นแบบกำจัดซากแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่แห่งแรกในไทย คาดใช้เวลาศึกษา 2 ปี หวังรองรับขยะแผงโซลาร์เซลล์ที่จะเกิดขึ้นล็อตแรกปี 65 ถึง112 ตัน กลายเป็นขยะสูงขึ้นอนาคต 
 
นายประกอบ วิวิธจินดา  อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) เปิดเผยภายหลัง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ กรอ. ศึกษาการจัดตั้งโรงงานต้นแบบกำจัดซากแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่แห่งแรกในประเทศไทย
 
โดยมี น.ส. จิราพร ศิริคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ กฟผ. และนายกัมปนาท รุ่งเรืองชัยศรี ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม กรอ.เป็นสักขีพยาน ว่า กรมฯ จะให้ข้อมูลกับทาง กฟผ.เกี่ยวกับปริมาณแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า(EV) รวมถึงระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ที่จะกลายเป็นขยะในอนาคต เพื่อให้ กฟผ.ได้ทำการศึกษาความเหมาะสมจัดตั้งโรงงานต้นแบบกำจัดหรือรีไซเคิลขยะดังกล่าว ซึ่งการศึกษาจะต้องประกอบไปด้วยการประเมินตัวเลขปริมาณขยะ,โรงกำจัด,โรงรีไซเคิล, ขนาดโรงงาน งบประมาณและความคุ้มทุน เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาภายใน 2 ปี นับจากวันนี้ ส่วนผู้ลงทุนสร้างโรงงานกำจัดแผลโซลาร์และแบตเตอรี่ดังกล่าวทาง กฟผ.จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมต่อไป 
 
ทั้งนี้รัฐบาลมีแผนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ให้ได้ 15,574 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศให้ได้ 1.2 ล้านคัน ภายในปี 2579 ซึ่งจะทำให้เกิดซากเซลล์แสงอาทิตย์และอุปกรณ์ประกอบ และซากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก และเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2558 นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการ โดยได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการจัดการขยะที่เกิดจากเซลล์แสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้า โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอเป็นกิจกรรมในแผนยุทธศาสตร์การจัดการของเสียของกระทรวงอุตสาหกรรม
 
โดยปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีเทคโนโลยีและการบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่อย่างเป็นระบบและครบวงจร ซึ่งอายุการใช้งานของแผงโซลาเซลล์ โดยเฉลี่ยประมาณ 20 ปี คาดว่าในปี 2565 จะมีซากจากแผงโซลาเซลล์เกิดขึ้น 112 ตัน และจะเพิ่มเป็น 1.55 ล้านตัน ในปี 2600 ซึ่งหากไม่มีการวางแผนที่เหมาะสม นอกจากจะส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแล้ว ยังจะเป็นปัญหาอุปสรรคต่อแผนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์และการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ตามนโยบายรัฐบาล
 
นายประกอบ กล่าวว่า ตัวเลข ณ เดือน ก.ย. 2562 ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์และขายไฟฟ้าเข้าระบบ(COD)แล้ว 2,882 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นภาคเหนือ 626 เมกะวัตต์ ,ภายตะวันออกเฉียงเหนือ 465 เมะวัตต์,ภาคกลาง 1,750 เมกะวัตต์ และภาคใต้ 41 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ยังไม่นับรวมแผงโซลาร์เซลล์จากผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เองแบบไม่ขายเข้าระบบ นอซึ่งพบว่าช่วงปลายของแผน PDP 2018 จะมีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์รวมเป็น 6,000 เมกะวัตต์ ในปี 2580 ดังนั้นในอนาคตจะมีขยะจากแผงโซลาร์เซลล์อีกจำนวนมากที่ต้องจำกัด 
 
โดยปัจจุบันขยะที่เป็นพวกแบตเตอรี่ตะกั่วและแบตเตอรี่จากรถยนต์ไฮบริด ตั้งแต่ปี 2558-2536 มีจำนวน 1,300 ตัน ได้ใช้วิธีกำจัดโดยการส่งออกไปยังโรงงานรีไซเคิลในประเทศเบลเยียม สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ส่วนแผงโซลาร์เซลล์นั้น ยังไม่มีประเทศใดตั้งโรงงานกำจัดขึ้นเป็นการเฉพาะ เพราะปัจจุบันที่ใช้อยู่ยังไม่สิ้นสุดอายุการใช้งาน    
นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า สำหรับการลงนามในครั้งนี้  กรอ. จะให้การสนับสนุนด้านข้อมูลแนวโน้มซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ในประเทศไทย,แนวทางการเก็บรวบรวมซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่จากภาคอุตสาหกรรม และการศึกษาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมต่อการพัฒนาโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทย 
 
สำหรับส่วน กฟผ. จะรับผิดชอบ ด้าน ศึกษาเทคโนโลยีการจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะสมสำหรับประยุกต์ใช้กับโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทย, ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทย ควบคู่กับการพิจารณาตามแนวทางการเก็บรวบรวมซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่จากภาคอุตสาหกรรมตามข้อมูล กรอ. และ ศึกษาเทคโนโลยีและแนวทางการบริหารจัดการซากแบตเตอรี่ ที่อาจสามารถนำมาบูรณการกับโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทยอนาคต