วันพฤหัสบดี ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2568 03:23 น.

เศรษฐกิจ

“บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร” ผวก.กฟผ. คนที่ 15 เปิดแผนบริหารสู่ผู้ให้บริการพลังงานครบวงจร

วันอังคาร ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 19.44 น.
“บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร” ผวก.กฟผ. คนที่ 15 
เปิดแผนบริหารสู่ผู้ให้บริการพลังงานครบวงจร
 
   
“บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร” ผู้ว่าการ กฟผ. คนที่ 15 โชว์แผนบริหารแบบ “ยืดหยุ่น ทันการณ์ ประสานประโยชน์” ขับเคลื่อน กฟผ. สู่ผู้ให้บริการด้านพลังงานอย่างครบวงจรในยุคดิสรัปชั่นไฟฟ้า มั่นคง ไม่แพง ขณะที่สร้างพันธมิตรต่อยอดธุรกิจใหม่ ควบคู่การดูแลสังคมชุมชนสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
 
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมทีมผู้บริหาร กฟผ. เปิดเผยทิศทางการดำเนินงานของ กฟผ. และแนวทางการบริหารงาน หลังเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. คนที่ 15 ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการใช้ไฟฟ้า รวมถึงรูปแบบการผลิตไฟฟ้าซึ่งถูกกำหนดโดยผู้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น กฟผ. จึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าในยุค New Normal ปรับวิธีคิดและการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “EGAT for ALL” หรือ กฟผ. เป็นของทุกคน และทำเพื่อทุกคน เพราะนอกจากการผลิตและส่งไฟฟ้าเพื่อรักษาความมั่นคงในระบบไฟฟ้าของประเทศแล้ว การดำเนินงานของ กฟผ. ยังต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความหลากหลายในยุคดิสรัปชั่น
 
 โดยตั้งเป้าเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงานอย่างครบวงจร (Energy Solutions Provider) ด้วยหลักการบริหารแบบ “ยืดหยุ่น ทันการณ์ ประสานประโยชน์” เดินหน้าผลักดันงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อาทิ การพัฒนาโรงไฟฟ้าตามแผน PDP2018 Rev.1 ให้แล้วเสร็จตามกำหนด มุ่งเน้นนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกการดำเนินงาน ตั้งแต่การพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าด้วยโรงไฟฟ้าดิจิทัล (Digital Power Plant) ทำให้โรงไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้น ช่วยลดต้นทุนการผลิต พัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบผสมผสาน อาทิ โครงการโซลาร์ลอยน้ำในเขื่อน การผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมร่วมกับเซลล์เชื้อเพลิง โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ
 
นายบุญญนิตย์ กล่าวว่า สำหรับแผน พีดีพี ฉบับปัจจุบัน กฟผ.จะลงทุน 1 ล้านล้านบาท จนถึงปี 2579 แบ่งเป็นโรงไฟฟ้า 60 %สายส่งไฟฟ้า 40% ซึ่งโรงไฟฟ้าใหม่จะยังลงทุนหรือไม่ คงต้องรอดูการปรับแผนพลังงานชาติฉบับใหม่ด้วย และ กลุ่ม กฟผ. ทั้ง RATCH  ,EGCO จะร่วมกันลงทุนครบวงจรด้านก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งตั้งเป้าจะลงทุนในแหล่งผลิตแอลเอ็นจี ใน4 ปีข้างหน้า และ ทยอยนำเข้าแอลเอ็นจีตามแผน 3 ปีนี้ (2564-2566 ) นำเข้า ประมาณ1.9 ล้านตัน และ 1.8 ล้านตัน/ปี ตามลำดับ ซึ่งแผนทั้งหมด เป้าหมายคือ ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าถึงประชาชนต่ำที่สุด และยังเดินหน้าแผนนำเข้าแบบ FSRU รวมถึงร่วมมือกับ ปตท.ในการวางโครงสร้างพื้นฐานนำเข้าแอลเอ็นจีป้อนโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี
 
 
โดยด้านระบบส่งไฟฟ้า กฟผ. มุ่งพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน (Grid Connectivity) ยกระดับสู่การเป็นศูนย์กลางซื้อขายพลังงานของภูมิภาค และปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าในประเทศให้มีความมั่นคงแข็งแรง โดยในปี 2564 จะเร่งดำเนินสร้างสายส่งไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ เชื่อมโยงบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (วัฒนานคร จ.สระแก้ว - พระตะบอง 2 กัมพูชา) เพื่อรองรับการซื้อขายไฟฟ้าปริมาณ 300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 ตลอดจนการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) รองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าหลัก ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของประเทศ (RE Forecast Center) ซึ่ง สามารถพยากรณ์กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ละเอียดในระดับราย 30 นาที จนถึงในอีก 7 วันถัดไปได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งนำร่องศูนย์สั่งการการดำเนินการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response Control Center) เชื่อมต่อกับระบบของ กฟน. และ กฟภ. เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการตอบสนองทางด้านโหลดในภาพรวมของประเทศ ปรับปรุงโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant) มีความพร้อมจ่ายสูง โดยเริ่มนำร่องที่โรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ 4 แล้ว ทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งพัฒนาแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System : BESS) ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ และสถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จ.ลพบุรี เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพไฟฟ้าในพื้นที่ที่มีพลังงานหมุนเวียนเชื่อมต่อเข้าระบบไฟฟ้าปริมาณมาก
 
 
นายบุญญนิตย์ กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมไฟฟ้าในปัจจุบันต้องเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจเดิมด้วย และ กฟผ. จะไม่เดินเพียงลำพัง จะแสวงหาพันธมิตรร่วมเป็นคู่ค้าเพื่อสร้างความหลากหลายทางธุรกิจ ตลอดจนการสร้างการเติบโตผ่านบริษัทในกลุ่ม กฟผ. และเดินหน้ารุกธุรกิจเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดเดิม อาทิ การขายไฟฟ้าไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ธุรกิจนำเข้า LNG ขยายธุรกิจบำรุงรักษาสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ กฟผ. ยังเตรียมบุกธุรกิจใหม่ อาทิ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้แก่ สถานีอัดประจุไฟฟ้า, เครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว (EGAT DC Quick Charger) ขนาด 100 กิโลวัตต์, ธุรกิจสมาร์ทอีวีชาร์จเจอร์ขนาดเล็กแบบครบวงจรภายใต้แบรนด์ Wallbox, ชุดดัดแปลงสภาพรถยนต์ให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV Kit), ธุรกิจแบตเตอรี่อัจฉริยะ (Batt 20C) สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว, ธุรกิจซื้อขายเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC)
 
ทั้งนี้ กฟผ. ยังมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมต่อยอดการดูแลสังคมอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “CSR for ALL เติบโตด้วยกันอย่างยั่งยืน” ทั้งในมิติเศรษฐกิจ (Prosperity) จากโครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และภาคที่อยู่อาศัย ต่อยอดสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มการบริหารจัดการไฟฟ้าแบบครบวงจร เช่น การออกแบบมาตรฐานอุปกรณ์ไฟฟ้า การจัดการใช้ไฟฟ้าผ่านแอพพลิเคชั่น การให้คำปรึกษาด้านพลังงาน ส่วนในมิติสังคมและชุมชน (People) จากการพัฒนาชุมชนแบบยั่งยืนด้วยโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการชีววิถี โครงการห้องเรียนสีเขียว ต่อยอดสู่โคก หนอง นา โมเดลวิถีใหม่ตามศาสตร์พระราชา และพัฒนาสู่วิสาหกิจชุมชนผ่านการสนับสนุนการท่องเที่ยวและสินค้าชุมชน สำหรับมิติสิ่งแวดล้อม (Planet) จากโครงการปลูกป่าและการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก ต่อยอดสู่นวัตกรรมดูแลคุณภาพอากาศ EGAT Air TIME ได้แก่ การปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว (Tree) นวัตกรรมสีเขียว (Innovation) การติดตามคุณภาพอากาศ (Monitoring) และการถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างความตะหนักในการดูแลคุณภาพอากาศ (Education & Engagement)
 
"มุ่งมั่นจะวางรากฐานให้ กฟผ. พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงด้วยหลักการบริหารแบบ “ยืดหยุ่น ทันการณ์ ประสานประโยชน์” โดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เสริมความแข็งแกร่งด้วยพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมกับยกระดับการทำงานสู่มืออาชีพด้านพลังงานไฟฟ้าที่โดดเด่น ตลอดจนสร้างการยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน” นายบุญญนิตย์ กล่าวว่า