เศรษฐกิจ
ส่งออกไทยต้องปรับตัวมุ่งสู่ Net Zero
วันจันทร์ ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 13.06 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
ส่งออกไทยต้องปรับตัวมุ่งสู่ Net Zero
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยทางรอดส่งออกไทยต้องปรับตั วมุ่งสู่ Net Zero
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่ างประเทศ ชี้แนะว่า ขณะนี้ทุกเวทีการค้าโลก รวมถึงนักธุรกิจทั่วโลกต่างให้ ความสำคัญกับเรื่อง Climate Change และพร้อมให้การสนับสนุนสินค้ าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่ งแวดล้อม แนะทางรอดส่งออกไทยต้องปรับตั วมุ่งสู่ Net Zero พร้อมนำนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้ อมมาปรับใช้เพื่อลดการปล่อยก๊ าซเรือนกระจก
เนื่องในโอกาสที่กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทวัสดุศาสตร์ที่ เน้นนวัตกรรมและความยั่งยืน ดำเนินกิจการมาครบรอบ 125 ปี จึงได้จัดงานเสวนาในเรื่อง FAST TRACK to the NET ZERO โดยมีเป้าหมายสร้างความยั่งยื นด้วยนวัตกรรมที่ช่วยลดการปล่ อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง ในงานนี้ได้เชิญ อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่ างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ขึ้นกล่าวในหัวข้อ Surviving in the Low-carbon Export Markets หรือ ทางรอดสินค้าส่ งออกไทยในตลาดคาร์บอนต่ำ ซึ่งขณะนี้เวทีการค้าระหว่ างประเทศทุกเวทีได้ให้ความสำคั ญกับเรื่อง Climate Change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศ
ถนนทุกสายมุ่งสู่ Climate Change
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม กล่าวว่า ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศ หรือ Climate Change มีความสำคัญมาก ทุกเวทีการค้าระหว่างประเทศมุ่ งไปสู่การมีส่วนร่วมเพื่อแก้ปั ญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศ ล่าสุดบนเวที WTO มีสมาชิก 6 ประเทศ อาทิ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ ฯลฯ . เสนอให้มีการลดภาษีสินค้าและบริ การด้านสิ่งแวดล้อม , จัดทำแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการติ ดฉลากสิ่งแวดล้อม และขอให้ยกเลิกการอุดหนุนน้ำมั นฟอสซิล
ขณะที่เวทีการประชุม APEC ซึ่งปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ก็ให้ความสนใจเรื่อง Climate Change เพราะสมาชิกมีการจัดทำบัญชี รายการสินค้าเพื่อลดภาษีนำเข้ าให้เหลือไม่เกิน 5% ใน 54 รายการสินค้า และอยู่ระหว่างการจัดทำแนวทางส่ งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่บริ การสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ในเวทีของ FTA ยุคใหม่ก็มักมีข้อบทเรื่องการค้ าและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งรวมเรื่องสิ่งแวดล้อมและ Climate Change เป็นประเด็นสำคัญในการเจรจา
สำหรับเวทีใหญ่อย่างกรอบอนุสั ญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งมีสมาชิกถึง 197 ประเทศทั่วโลก มีหลักการสำคัญระบุว่าทุ กประเทศมีความรับผิดชอบในการแก้ ปัญหา Climate Change แต่ประเทศพัฒนาแล้วควรจะมี การดำเนินการที่เข้มข้นกว่ าประเทศกำลังพัฒนา และมาตรการที่ใช้แก้ปัญหา Climate Change ไม่ควรเป็นการแอบแฝงการกีดกั นการค้า
ในการประชุมรัฐภาคี UNFCCC ครั้งที่ 26 หรือ UN Climate Change Conference of the Parties (COP26) เมื่อปลายปีที่แล้ว นอกจากข้อตกลงที่จะร่วมมือกันรั กษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิ น 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว เพื่อบรรลุเป้าหมายของการแก้ปั ญหา Climate Change ยังมีข้อตกลงที่จะเร่ งความพยายามในการลดการใช้พลั งงานถ่านหิน ยกเลิกการอุดหนุนเชื้อเพลิ งฟอสซิล และเร่งระดมเงินทุนเพื่อช่ วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น
บทบาทรัฐบาลไทยต่อปัญหา Climate Change
ในขณะที่รัฐบาลไทยก็ให้การสนั บสนุนเรื่อง Climate Change โดยไทยตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊ าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี พ.ศ. 2573 และมุ่งสู่ net zero ภายในปี พ.ศ. 2608 โดยที่ผ่านมา มีการดำเนินงานที่สำคัญในเรื่ องนี้ เช่น กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้ องได้จัดทำแผนแม่บทเพื่อวางทิ ศทางไปสู่นโยบายที่ได้วางไว้ เช่น การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน , การลดปริมาณการปล่อยของเสีย ,การปลูกป่าเพิ่มขึ้น , การเพิ่มประสิทธิภาพของการเดิ นทางและขนส่ง การลดการใช้พลังงานภายในอาคาร และการส่งเสริมการลงทุนภาคอุ ตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ การลดปริมาณการเกิดของเสีย การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ ยวเชิงนิเวศ และการเพิ่มขี ดความสามารถในการปรับตัวของชุ มชน การพัฒนาข้อมูล งานศึกษาวิจัย และเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Climate Change รวมถึงการจัดทำร่างพระราชบัญญั ติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
มาตรการ CBAM ของ EU
EU อยู่ระหว่างเตรียมใช้มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งเป็นการเก็บภาษีคาร์บอนกั บสินค้านำเข้า โดยจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 กับสินค้า 5 ประเภท ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม และอาจขยายให้ครอบคลุมสินค้ าประเภทอื่นด้วยในอนาคต โดยในช่วง 3 ปีแรก (2566–2568) จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ให้ผู้นำเข้าเพียงแค่รายงานข้ อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ EU ทราบ และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ผู้นำเข้าจะต้องจ่ายภาษีคาร์ บอนตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรื อนกระจกของสินค้าที่ตนนำเข้า
สำหรับสินค้าส่งออกของไทยที่เกี่ ยวข้องกับมาตรการ CBAM ในปี 2564 ไทยส่งออกสินค้าตามรายการ CBAM ไป EU $186.61 ล้าน USD (6,113.69 ล้านบาท) คิดเป็น 3.52% ของการส่งออกสู่โลก เช่น เหล็กและเหล็กกล้า มีมูลค่าส่งออก 4,109.08 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 3.76% อะลูมิเนียม มีมูลค่าส่งออก 2,004.15 ล้านบาทหรือ คิดเป็น 3.75% ของการส่งออกของไทยไปสู่โลก และ ซีเมนต์ ปุ๋ย และไฟฟ้าไทยส่งออกไป EU ในปริมาณที่น้อยหรือเป็นศูนย์
ทางรอดของการส่งออกไทย
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม กล่าวถึงการส่งออกของไทยว่า “ ทางรอดของการส่งออกไทยคงหลีกเลี่ ยงไม่ได้ในเรื่องของการปรับตั วให้ทันสถานการณ์ รวมถึงการนำนวั ตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยให้ กระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายสิ่ งแวดล้อมโดยมุ่งเรื่องการปล่ อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ และมุ่งสู่ Net Zero ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดแบบ Bio-Circular-Green' Economy หรือ BCG ที่ประเทศไทยกำลังพยายามเดิ นไปในเส้นทางนี้อยู่แล้ว”
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจด้านการผลิตควรเตรี ยมความพร้อมเรื่องการประเมิ นคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์ กรและผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีองค์การบริหารจัดการก๊ าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) สามารถเป็นที่ปรึกษาในการประเมิ นเรื่องนี้ รวมทั้งเข้าร่วมโครงการลดก๊ าซเรือนกระจกภาคสมั ครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย และซื้อขายคาร์บอนเครดิต และสุดท้ายใช้ความพยายามในเรื่ อง Climate Change มาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดผู้บริ โภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
“ทางรอดอีกทางหนึ่งคื อแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกั บการลดการปล่อยคาร์บอนฯ ซึ่งตอนนี้ FTA ไม่ได้คุยเฉพาะเรื่องการเปิ ดตลาดสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องการบริ การและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ Climate Change ซึ่งบริษัทเอกชนของไทยควรศึ กษาและสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาธุรกิจบริการให้คำปรึ กษาด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานหมุนเวียน เป็นต้น ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือ SME ก็ควรจะต้องติดตามและเรียนรู้ เทรนด์เรื่อง Climate Change ตามทิศทางของโลกเพื่อนำไปปรั บใช้กับการวางแผนธุรกิจด้วย” นางอรมนกล่าว
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่