เศรษฐกิจ
กฟผ. พร้อมดูแลระบบไฟฟ้าให้มั่นคงทุกสถานการณ์
วันศุกร์ ที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2565, 20.37 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
กฟผ. พร้อมดูแลระบบไฟฟ้าให้มั่นคงทุ กสถานการณ์
กฟผ. พร้อมดูแลระบบไฟฟ้าประเทศไทยให้ มั่นคงจากสถานการณ์ด้านเชื้ อเพลิงจากแหล่งซอติก้า การนําเข้า LNG และน้ำมันดีเซล คาดสถานการณ์ด้านเชื้อเพลิงมี แนวโน้มคลี่คลายภายใน 2 สัปดาห์
ดร.จิราพร ศิริคํา รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงพลังงานประชุมหน่ วยงานที่เกี่ยวข้อง (คณะอนุกรรมการบริหารจั ดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้ านพลังงาน) ประกอบด้วยสำนักงานคณะกรรมการกํ ากับกิจการพลังงาน (กกพ.) บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรั กษ์พลังงาน (พพ.) และ กฟผ. โดยเร่งด่วน สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้ องเร่งแก้ไขสถานการณ์และดําเนิ นการนำแหล่งก๊าซฯซอติก้า กลับมาจ่ายก๊าซฯภายใน 2 สัปดาห์ พร้อมปรับแผนจัดหาเชื้อเพลิงเพื่ อใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้มีความต่ อเนื่องและคํานึงถึงความมั่ นคงด้านพลังงานเป็นอันดับแรก กฟผ. จึงเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ของเดื อนสิงหาคมนี้จะคลี่คลายไปในทิ ศทางที่ดีขึ้น โดยไม่มีเวียนดับไฟฟ้า หรือ Partial Blackout อีกทั้ง ปตท. ยืนยันว่า ในเดือนสิงหาคมมีปริมาณก๊ าซธรรมชาติเหลว (LNG) สํารองเพียงพอรองรับการผลิตไฟฟ้ าสำหรับโรงไฟฟ้า กฟผ. และ IPP อีกทั้งมีแผนนําเข้า LNG เพิ่มในเดือนกันยายนนี้
ทั้งนี้ กฟผ. พร้อมร่วมมือกับทุกหน่วยงานดู แลรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้ าของประเทศไม่ให้เกิดผลกระทบต่อ การใช้ไฟฟ้าของประชาชนและทุ กภาคส่วน โดยปรับแผนบริหารเชื้อเพลิ งในการผลิตไฟฟ้าและดูแลระบบส่ งไฟฟ้าให้พร้อมส่งจ่ายกระแสไฟฟ้ าเต็มความสามารถถึงมือผู้ใช้ ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
กฟผ. ขอยืนยันว่า ได้เร่งดำเนินการตามนโยบายรั ฐในทุกมาตรการและพร้อมร่วมบริ หารจัดการการใช้เชื้อเพลิงเพื่ อสร้างความมั่นคงด้านพลั งงานของประเทศ อย่างไรก็ตามเพื่อลดการนำเข้ าพลังงานและเชื้อเพลิงที่มี ราคาสูงเพื่อการผลิตไฟฟ้า จึงขอความร่วมมือประชาชนใช้ไฟฟ้ าอย่างประหยัดและมีประสิทธิ ภาพเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง และช่วยให้ประเทศก้าวข้ามวิ กฤตในครั้งนี้ไปได้ด้วยดี รวมถึงจะสามารถลดผลกระทบต่อค่ าไฟฟ้าของประชาชนได้ในที่สุด
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่