วันอาทิตย์ ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567, 14.13 น.
“คมนาคม”ตั้งเป้าสนามบินไทย ติดท็อป 1 ใน 20 ของโลก ชมชางงีติดอันดับ 2ของโลก
.JPG)
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังนำชมท่าอากาศยานชางงี ประเทศสิงคโปร์ ว่าสำหรับการพัฒนาท่าอากาศยานสนามบินชางงี ภายหลังที่ท่าอากาศยานซางงีติดอันดับที่ 2 ของโลก จากสกายแทร็กซ์ บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจการบินชั้นนำของโลก โดยเป็นรองท่าอากาศยานนานาชาติฮาหมัดประเทศกาตาร์ ขยับขึ้นจากปีก่อน ที่อยู่อันดับ อันดับ 2 Changi Airport(Singapore) สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในอันดับ 1 นั้น สิ่งสำคัญที่เราต้องรีบดำเนินการในสนามบินของเราคือการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ซึ่งสนามบินชางงีก็ได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งล่าสุด บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. ได้การนำระบบไบโอเมตริกพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (biometric) มาใช้บริการ ผู้โดยสารขาออก โดยเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น สามารถลดระยะเวลาเหลือ 2นาที ซึ่งถือว่าสามารถเทียบกับสนามบินชางงีได้ ส่วนขาเข้าก็ได้เพิ่มเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง และระบบสายพานรับกระเป๋า โดยไม่ต้องรอนาน
“คมนาคมได้วางเป้าหมายให้ ทอท.ดำเนินการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้ติด 1 ใน 20 อันดับแรก ของท่าอากาศยานที่ดีที่สุดของโลกภายใน 5 ปี โดยจะเร่งดำเนินการทั้งหมด 3 ระยะ โดยในระยะเร่งด่วนนั้นได้สั่งการให้เพิ่มความสะดวกสบายควบคู่ไปกับการลดระยะเวลารอคอยของผู้โดยสาร ซึ่งปัจจุบัน ทอท. ได้ยกระดับคุณภาพการบริการและเพิ่มความรวดเร็วในหลากหลายด้าน อาทิ การนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกผู้โดยสารตั้งแต่จุดตรวจคนเข้าเมือง ระบบรับกระเป๋า ไปจนถึงการเปิดใช้ช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติทั้งขาเข้าและขาออก (Auto Gate) รวมถึงการนำระบบไบโอเมตริกพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (biometric) มาใช้เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสาร ส่วนระยะกลาง จะเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินของท่าอากาศยานหลักของประเทศ และระยะยาว มุ่งเน้นการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ พร้อมทั้งผลักดันอุตสาหกรรมการซ่อมบำรุงอากาศยาน”
ขณะเดียวกัน นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. กล่าวว่าปัจจุบันทอท.ได้เตรียมแผนพัฒนา เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการบิน โดยตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี ท่าอากาศยานในเขตกรุงเทพ ต้องมีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 200 ล้านคน/ปี และไปสู่เป้าหมายการเป็น 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีสุดในโลก ซึ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีแผนจะขยายโครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ใช้เวลาดำเนินการ 3 ปี รองรับผู้โดยสารเพิ่ม 15 ล้านคนต่อปี ควบคู่ไปกับการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) รองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 70 ล้านคนต่อปี เป็นรูปแบบ Mega Terminal เพิ่มพื้นที่เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ใกล้อาคารผู้โดยสาร เมื่อนำมารวมกับขีดความสามารถในปัจจุบันจะทำให้ ทสภ.รองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมืองอยู่ระหว่างแผนพัฒนาระยะที่ 3 เพื่อรองรับผู้โดยสาร 50 ล้านคนต่อปี
นายกีรติ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบนโยบายให้ ทอท. พัฒนาท่าอากาศยานเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคและติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี โดยในปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้ง Self Check-in (Kiosk) จำนวน 250 เครื่อง ติดตั้งระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) จำนวน 40 จุด ช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติทั้งขาเข้าและขาออก (Auto Gate) 80 จุด และจะเพิ่มอีก 120 จุดในอนาคต โดยมีเป้าหมายจะเปิดใช้ระบบ Autogate ทั้งหมดสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศและผู้โดยสารภายในประเทศ เหมือนกับสนามบินชางงีที่ประเทศสิงคโปร์ หลังจากที่ปัจจุบันระบบดังกล่าวสามารถช่วยลดระยะเวลารอคอยผู้โดยสารขาออกให้เหลือเพียง 2 นาที/คน จากเดิมที่ 30-40 นาที/คน อย่างไรก็ตาม ทอท. ได้เตรียมศึกษาแผนเปิดใช้งานระบบ Early Check-in ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง สำหรับทุกสายการบินเพื่อลดความแออัดและเพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสารที่มาก่อนเวลา หากศึกษาแล้วเสร็จคาดว่าจะเปิดใช้ได้ในช่วง ก.พ.68
นอกจากนี้ ยังได้เตรียมเปิดให้บริการพื้นที่พักผ่อนใหม่ภายใน ทสภ.โดยเป็นพื้นที่ให้ผู้โดยสารพักคอยและ Co-working Space ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางในการให้บริการผู้โดยสารมากขึ้น คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ธ.ค.67 รวมถึงสนามเด็กเล่นมีกำหนดแล้วเสร็จช่วง ก.พ.68 ซึ่งที่ผ่านมาได้หารือร่วมกับท่าอากาศยานชางงีที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงภูมิทัศน์เป็นอันดับต้นๆ ของโลกแล้ว นอกจากนี้ ล่าสุดองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้คัดเลือกสนามบินสุวรรณภูมิติด1ใน6 สำหรับเหตุผลที่ยูเนสโกคัดเลือกนั้น เนื่องจากมีการตกแต่งพื้นที่เป็นป่าหินมะพาน อย่างไรก็ตาม จะประกาศผลประมาณวันที่ 2ธันวาคม 2567
สำหรับแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสีเขียวว่า ขณะนี้ได้หารือถึงแผนพัฒนาท่าอากาศยานสีเขียว (Green Airport) ร่วมกับท่าอากาศยานชางงี ซึ่งมีแผนจะร่วมมือกันในการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับทางการบินยุโรปที่กำหนดให้ท่าอากาศยานทั่วโลกต้องมีเชื้อเพลิง SAF ให้บริการเติมอากาศยานภายใน 3 ปี ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีของเอเชียและประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิง SAF นอกจากนี้ยังได้หารือกันถึงเรื่องแผนการใช้พลังงานสะอาดโดยการติดตั้งแผงโซลาเซลล์ภายในท่าอากาศยาน ซึ่ง ทอท. ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีจะลดการใช้พลังงานช่วงกลางวันเป็นศูนย์ (Day time energy) โดยปัจจุบัน ทสภ.มีกำลังผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์อยู่ที่ 20 เมกะวัตต์ ใกล้เคียงกับท่าอากาศยานชางงีซึ่งอยู่ที่ 35 เมกะวัตต์