เศรษฐกิจ
"พาณิชย์" เผยส่งออกสินค้าไทย-กัมพูชายังปกติ ปิดแค่จุดผ่านแดนกระทบแค่รายย่อย
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-กัมพูชาว่า กรมได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานว่าภาพรวมการส่งออกสินค้าไทยส่วนใหญ่ยังทำได้ปกติ เนื่องจากสินค้าที่ไทยส่งออกไปกัมพูชาเกือบทั้งหมด จะส่งผ่านด่านศุลกากรไทย-กัมพูชา 5 ด่านใหญ่ ได้แก่ ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ด่านคลองใหญ่ จ.ตราด ด่านจันทบุรี ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ และด่านช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการปิดแต่อย่างใด ส่วนที่มีข่าวปิดด่านไปนั้นจะเป็นในส่วนจุดผ่านแดน ซึ่งสินค้าไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ส่งออกผ่านจุดนั้นอยู่แล้ว แต่อาจมีผลกระทบบ้างต่อผู้ประกอบรายย่อยที่ค้าขายบริเวณนั้น ซึ่งไม่มากเพราะเป็นการปรับเปลี่ยนระยะเวลา เปิดปิดชั่วคราวช่วงสั้นๆ
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ได้วิเคราะห์ผลกระทบของการปิดด่านการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา โดยไทยและกัมพูชา มีด่านการค้าที่สำคัญด้วยกันอยู่ 5 ด่าน ซึ่งวัดจากมูลการค้ากรมศุลกากร เมื่อปี 67 มีดังนี้ อันดับหนึ่ง ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว 110,718 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.4% รองลงมาเป็นมา ด่านคลองใหญ่ จ.ตราด 29,289 ล้านบาท สัดส่วน 16.8% ด่านจันทบุรี 26,621 ล้านบาท สัดส่วน 15.3% ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ 6,084 ล้านบาท สัดส่วน 3.5% และด่านช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ 1,818 ล้านบาท สัดส่วน 1.0% รวม 5 ด่าน มูลค่าการค้ารวม 174,530 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากปิดด่านอรัญประเทศเพียงแห่งเดียว จะส่งผลต่อมูลค่าการค้า มากกว่า 60% ของทั้งหมด ปิดด่านคลองใหญ่ และจันทบุรี รวมกันอีก 30% ดังนั้น การปิดด่านใหญ่ 3 แห่งจะทำให้การค้าชายแดนไทย–กัมพูชาหยุดชะงักเกือบทั้งหมด
ส่วนผลกระทบเชิงโครงสร้างสินค้า โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยช่วงเดือนม.ค.–เม.ย. 68 ได้แก่ เครื่องดื่ม ส่วนประกอบรถยนต์ จักรยานยนต์, เครื่องยนต์, เครื่องจักรกลเกษตร คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ มันสำปะหลัง, เศษโลหะ อลูมิเนียม, ทองแดง, ลวดสายไฟ ฯลฯ โดยสินค้าเหล่านี้สำคัญต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องในไทย เช่น อาหารสัตว์, รีไซเคิล, อิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังประเมินว่า การปิดด่านจะทำให้เกิดความล่าช้า, ต้นทุนเพิ่ม, ห่วงโซ่การผลิตสะดุด ซึ่งแม้ปัจจุบัน จะมีการปรับวันและเวลาเปิด-ปิดด่าน เฉพาะการควบคุมคนเข้าออก ไม่กระทบการค้าสินค้าโดยรวม แต่ถ้ามีการปิดด่านอย่างถาวร หรือปิดหลายด่านพร้อมกันจะกระทบทันทีในระดับเหล่านี้ โดยระยะสั้นใน 3 เดือนแรก ธุรกิจรายย่อยข้ามแดน เช่น ตลาดชายแดนหยุดชะงัก โลจิสติกส์เปลี่ยนเส้นทาง ส่วนผลกระทบระยะกลาง 3–12 เดือน ผู้ส่งออกต้องหาตลาดหรือเส้นทางใหม่ อุตสาหกรรมไทยที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากกัมพูชาเริ่มกระทบ หากยืดเยื้อนานเกิน 1 ปี ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพพรมแดนลดลง ความสัมพันธ์ทางการค้าอาจเปลี่ยนไปสู่ช่องทางทางทะเลหรือผ่านประเทศอื่นแทน
สำหรับโอกาสในการบริหารความเสี่ยง หากการปิดด่านเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ประกอบการควรพิจารณา การกระจายความเสี่ยงการค้าไปยังด่านอื่นที่ยังเปิดอยู่ รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งทางเลือก เช่น รถไฟ, ทางทะเล ผ่านเวียดนาม ลาว ตลอดจนการเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นใจให้ผู้ค้า
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่