เศรษฐกิจ
พาณิชย์ดันภาคบริการเชื่อมโยงผลไม้ไทยจากสวนสู่ผู้บริโภค – หนุนเศรษฐกิจฐานรากโตอย่างยั่งยืน
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

พาณิชย์ดันภาคบริการเชื่อมโยงผลไม้ไทยจากสวนสู่ผู้บริโภค – หนุนเศรษฐกิจฐานรากโตอย่างยั่งยืน ภาควิจัย-เทคโนโลยี เสริมศักยภาพแปรรูปและบริหารจัดการตลาด
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาคบริการเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานของผลไม้ไทย โดยเฉพาะในฤดูกาลที่มีผลผลิตจำนวนมาก เช่น มังคุดและลำไย ซึ่งมักประสบปัญหาการระบายผลผลิตไม่ทันก่อนเน่าเสีย ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร
ภาคบริการ เช่น ธุรกิจค้าปลีก โลจิสติกส์ โรงแรม ร้านอาหาร ไปจนถึงกลุ่มวิจัยและพัฒนา สามารถเข้ามาเสริมระบบการตลาด เพิ่มมูลค่า และลดความเสี่ยงในการกระจายผลผลิต โดยอาศัยแนวทาง “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย” ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างแท้จริง
ในปี 2567 ภาคบริการมีมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็น 61.56% ของ GDP หรือกว่า 11.44 ล้านล้านบาท ครอบคลุมถึง 15 สาขาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตประชาชน และมีบทบาทเชิงกลยุทธ์ต่อภาคการผลิต โดยเฉพาะการเกษตรที่มีความเสี่ยงสูงต่อความผันผวนของตลาด
ค้าปลีก-โลจิสติกส์-โรงแรม-วิจัย มีบทบาทหนุนการกระจายผลไม้
หนึ่งในภาคบริการที่มีบทบาทชัดเจนคือ “ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก” ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2.96 ล้านล้านบาท หรือราว 15.96% ของ GDP โดยมีผู้ประกอบการกว่า 1.3 ล้านราย ทั้งในรูปแบบห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ และแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นช่องทางหลักในการกระจายผลไม้จากแหล่งผลิตสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยเฉพาะการร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการนำผลไม้ไปวางขายในพื้นที่จำหน่ายต่าง ๆ
นอกจากนี้ “ธุรกิจโลจิสติกส์และขนส่ง” ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเกือบ 1 ล้านล้านบาท หรือ 5.3% ของ GDP ก็มีบทบาทสำคัญในการลดการสูญเสียผลผลิตจากการเน่าเสีย โดยเฉพาะการลงทุนในระบบห่วงโซ่ความเย็น (cold chain) และการบริหารจัดการเส้นทางขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนธุรกิจขนส่งผู้โดยสาร เช่น สายการบิน ก็สามารถเข้ามาช่วยกระจายผลไม้คุณภาพดีในราคาที่เป็นธรรมให้ถึงมือผู้บริโภคได้มากขึ้น
ในภาค “โรงแรมและร้านอาหาร” ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1.09 ล้านล้านบาท หรือ 5.87% ของ GDP ก็มีศักยภาพในการนำผลไม้ตามฤดูกาลมาใช้ในเมนูหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคทั่วไป กระตุ้นให้เกิดการบริโภคผลไม้ไทยมากขึ้นในรูปแบบที่สร้างมูลค่าเพิ่ม
ภาควิจัย-เทคโนโลยี เสริมศักยภาพแปรรูปและบริหารจัดการตลาด
อีกหนึ่งกลุ่มที่มีบทบาทคือ “กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และเทคนิค” ซึ่งมีมูลค่ากว่า 315,000 ล้านบาท โดยเฉพาะบริการวิจัยและพัฒนา ซึ่งสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิต ลดต้นทุนการผลิต และใช้ข้อมูลสถิติเชิงลึกในการพยากรณ์ตลาด ช่วยให้เกษตรกรวางแผนการผลิตได้แม่นยำ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการผู้บริโภค และสามารถนำผลผลิตไปแปรรูปเพื่อเจาะตลาดเฉพาะหรือส่งออกได้
นายพูนพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคบริการควรใช้จุดแข็งของตน ทั้งในด้านเครือข่ายการขนส่ง การจัดจำหน่าย การวิเคราะห์ข้อมูล และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับตลาด เพื่อเชื่อมโยงผลผลิตจากเกษตรกรให้ถึงมือผู้บริโภคในรูปแบบที่มีมูลค่าเพิ่ม
ทั้งนี้ ภาครัฐควรพิจารณาส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ต้นทุนต่ำทั่วประเทศ สนับสนุนเครื่องมือทางการเงิน และลงทุนในระบบข้อมูลตลาดที่โปร่งใสและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้การขับเคลื่อนมีความยั่งยืนในระยะยาว โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และชุมชนเกษตรกรรมในพื้นที่
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่