วันอาทิตย์ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568 02:42 น.

เศรษฐกิจ

พาณิชย์ชี้ช่อง! ดันเทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ GEd และ NGTs  ชิงความได้เปรียบในเวทีการค้าโลก

วันพฤหัสบดี ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 09.47 น.

โลกเกษตรเปลี่ยนผ่านสู่ยุคชีวภาพ! พาณิชย์แนะไทยใช้ GEd และ NGTs สร้างโอกาสใหม่ ขับเคลื่อนความมั่นคงอาหารและการค้า 

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผยภูมิทัศน์ของการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรและอาหารโลกกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมชีวภาพ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรม (Genetically Modified Organism: GMO) เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing: GEd) และเทคนิคจีโนมใหม่ (New Genomic Techniques: NGTs) ซึ่งมีศักยภาพในการพลิกโฉมภาคเกษตรกรรมให้สามารถรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหาร 
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืน 

โลกกำลังเดินหน้าสู่เกษตรกรรมและอาหารยุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรมที่แม่นยำมากขึ้น ที่อาศัยเทคนิคการปรับปรุงพันธุ์ที่มีความแม่นยำสูง เทคโนโลยีเหล่านี้ เช่น เทคนิค CRISPR/Cas9 ที่อยู่ภายใต้กลุ่ม GEd และ NGTs กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อภาคการผลิตพืชและอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะในบริบทที่โลกกำลังเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนและความต้องการอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น ในเชิงเศรษฐกิจ ข้อมูลจาก Grand View Research ระบุว่าตลาด Genome Editing  ของโลก มีมูลค่ามหาศาล ในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 9.78 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปถึง 25 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ย 16.1% ต่อปี ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ของโลกอยู่ที่ 18% ต่อปี

นายพูนพงษ์ฯ ชี้ให้เห็นว่า นานาประเทศมีจุดยืนที่แตกต่างกันต่อเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม โดยเฉพาะเทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรม หรือ GMO และเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม หรือ GEd ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัย และการยอมรับของสังคม โดยแบ่งเป็น กลุ่มที่เปิดกว้าง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา  เป็นผู้นำในการใช้พืช GMO ทั้งในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารอย่างกว้างขวางมาอย่างยาวนาน เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และฝ้าย ที่สำคัญ สหรัฐฯ มองว่าเทคโนโลยี GEd  ไม่จัดเป็น GMO หากไม่มีการนำพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตต่างชนิดเข้าไป เช่นเดียวกับ บราซิล  ที่มีนโยบายเปิดกว้างต่อ GMO มากที่สุด และมีกฎระเบียบที่แยก NGTs ออกจาก GMO อย่างชัดเจนหากไม่มีการใช้พันธุกรรมข้ามสายพันธุ์ ส่งผลให้บราซิลสามารถพัฒนาพืชสายพันธุ์ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

กลุ่มที่ปรับตัวและวางกรอบอย่างรัดกุม ได้แก่ สหภาพยุโรป  ยังคงมีจุดยืนที่เข้มงวดต่อ GMO มาโดยตลอด แต่ล่าสุด คณะกรรมาธิการยุโรปและรัฐสภายุโรปได้มีการพิจารณาเห็นชอบในหลักการและเสนอปรับกฎระเบียบ เพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับพืชที่ได้จากเทคนิค GEd และ NGTs โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่แทรกพันธุกรรมต่างสายพันธุ์ (เช่น SDN-1) ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการเจรจา เพื่อหาข้อสรุปและประกาศใช้เป็นกฎหมาย รวมทั้งญี่ปุ่น  ที่มีแนวทางแบบสมดุล โดยอนุญาตให้นำเข้าและใช้พืช GMO บางชนิดเพื่อเป็นอาหารสัตว์และใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง มันฝรั่ง ฝ้าย และแคนโอล่า แต่ไม่อนุญาตให้ปลูกเพื่อการบริโภคโดยตรง อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นมีแนวทางการประเมินความปลอดภัยที่ยืดหยุ่นต่อเทคโนโลยี GEd โดยในหลายกรณี หากไม่แทรกพันธุกรรมต่างสายพันธุ์ ผลิตภัณฑ์อาจไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในหมวด GMO และสามารถวางจำหน่ายได้หลังผ่านการประเมินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จและออกสู่ตลาดแล้ว เช่น มะเขือเทศที่มีสาร GABA สูง และปลาที่โตเร็วกว่าปกติ เช่นเดียวกับ ออสเตรเลีย  ที่อนุญาตให้ปลูกพืช GMO บางชนิดได้ ภายใต้การประเมินความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น แคนโอล่า GM ที่ได้รับอนุญาตตั้งแต่ปี 2546 และมีกฎหมายที่ระบุชัดเจนภายใต้การกำกับของสำนักงานกำกับดูแลเทคโนโลยียีน (Office of the Gene Technology Regulator: OGTR) ว่าเทคโนโลยี GEd ที่ไม่แทรกพันธุกรรมต่างสายพันธุ์ (เทคนิค SDN-1) อาจไม่ถูกจัดเป็น GMO และขณะนี้กำลังมีการทดลองข้าวสาลีที่ผ่านการปรับแต่งจีโนมเพื่อเพิ่มผลผลิตอีก 10% และคาดว่าจะวางตลาดได้ภายในปี 2571

มหาอำนาจที่กำลังเปลี่ยนทิศทาง ได้แก่ จีน  ได้เปลี่ยนท่าทีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มอนุญาตให้ปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง และฝ้าย GMO บางสายพันธุ์ พร้อมตั้งเป้าขยายพื้นที่ปลูกให้ครอบคลุมกว่า 21 ล้านไร่ ภายในปี 2568 นอกจากนี้ จีนยังส่งเสริมการใช้ GEd อย่างชัดเจน โดยกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้อนุมัติพืชดัดแปลงพันธุกรรมด้วยเทคนิค GEd แล้วหลายสายพันธุ์ เช่น ข้าวสาลี และถั่วเหลือง 

สำหรับไทย ปัจจุบันยังมีข้อห้ามปลูกพืช GMO ในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้เดินหน้าเชิงรุกภายใต้นโยบาย “IGNITE AGRICULTURE HUB” ล่าสุด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกกฎกระทรวง เรื่อง การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ. 2567  ซึ่งอนุญาตให้มีการทดลองและจดทะเบียนสิ่งมีชีวิตที่ผ่าน GEd ได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีโครงการวิจัยในพืชเศรษฐกิจหลายชนิด  เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ถั่วเหลือง และกล้วย ถือเป็นก้าวแรกสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ในอนาคต ปัจจุบันมีโครงการทดลองภาคสนามของพืช GEd กว่า 6,000 โครงการ เพิ่มขึ้นจาก 4,100 โครงการในปี 2564 โดยโครงการส่วนใหญ่เน้นที่พืชต้านทานต่อสภาพภูมิอากาศและศัตรูพืช ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับประเทศที่เผชิญกับภาวะโลกร้อนโดยตรง รวมถึงไทย อินเดีย และแอฟริกา 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านการกำกับดูแล การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่โปร่งใส และที่สำคัญคือการสร้างการยอมรับและความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันยังมีความเข้าใจในวงจำกัดและมักสับสนระหว่างเทคโนโลยี GEd และ GMO ทั้งที่วิธีการและผลลัพธ์ที่ได้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

ขณะที่ ข้อมูลจากสหรัฐฯ ชี้ว่า ผู้บริโภคกว่า 60% พร้อมจะยอมรับสินค้า GEd หากมีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนและมีราคาสมเหตุสมผล ดังนั้น หากไทยสามารถวางระบบ Traceability ที่น่าเชื่อถือ มีการกำหนดฉลากที่เหมาะสม และออกแบบกฎหมายที่แยก NGTs ออกจาก GMO ได้อย่างชัดเจน ไทยจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพอย่างมากในการเป็นฐานการผลิตและส่งออกพืช Gene-edited ที่มีมูลค่าสูงของภูมิภาคเอเชียสู่ตลาดโลก อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง ผลไม้ และสมุนไพร ได้ในอนาคต

นายพูนพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เทคโนโลยี GEd และ NGTs กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการเกษตรและอาหารโลกอย่างแท้จริง ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวทั้งในเชิงนโยบาย การสื่อสารสาธารณะ และการลงทุนด้านการวิจัย เพื่อไม่ให้ตกขบวนรถไฟสายเทคโนโลยี และเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลกไว้ในระยะยาว”