วันพฤหัสบดี ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2568 02:09 น.

เศรษฐกิจ

"ธนารักษ์" เปิดตัวโครงการ Clean Energy ต้นแบบการใช้พลังงานสะอาดในที่ราชพัสดุ พร้อมลงนาม MOU กองทัพเรือจัดทำโครงการนำร่อง

วันจันทร์ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 18.59 น.

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ“Clean Energy” พร้อมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการจัดทำต้นแบบการใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ราชการ โดยมี พลเรือเอก จิรพลว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เข้าร่วมลงนาม

ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการพลังของทั้งสองหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานสะอาด และสะท้อนเจตนารมณ์ของกรมธนารักษ์ในการยกระดับที่ราชพัสดุจาก“สินทรัพย์ที่ถูกมองข้าม” ให้กลายเป็น “สินทรัพย์แห่งอนาคต”ยกระดับ “ที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์” สู่ “ที่ราชพัสดุเพื่อสิ่งแวดล้อม”ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาความท้าทายที่ทั่วโลกกำลังเผชิญทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง และเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวรัฐบาลไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608ผ่านนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดในหลายมิติ

ดร. เอกนิติ กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายนี้กรมธนารักษ์จึงพลิกบทบาทของที่ราชพัสดุซึ่งเคยถูกมองข้าม ว่าไม่มีประโยชน์ เช่น หลังคาบนอาคารราชพัสดุหรือที่ราชพัสดุที่เป็นอ่างเก็บน้ำ ให้กลายเป็นฐานพลังงานสะอาดแห่งอนาคต โดยยกเว้น หรือลดค่าเช่าและค่าแรกเข้าในการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุ เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในที่ราชพัสดุใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ บนหลังคา (Solar Rooftop) บนพื้นดิน (Solar Farm)และบนทุ่นลอยน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ (Floating Solar) เพื่อส่งเสริมให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐเอกชน มีการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะไม่เพียงช่วยลดต้นทุนพลังงานของภาครัฐแต่ยังเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน สร้างรายได้จากที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กลับคืนสู่รัฐและที่สำคัญที่สุดคือการวางรากฐานด้านพลังงานสะอาดให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

หลักเกณฑ์การขอใช้ที่ราชพัสดุเพื่อผลิตพลังงานสะอาดโครงการ Clean Energy กรมธนารักษ์ได้กำหนด “หลักเกณฑ์กลางการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุเพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์” สำหรับหน่วยงานที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ Clean Energy โดยเปิดโอกาสให้นำที่ราชพัสดุมาพัฒนาเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ 

1. ส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น – จะได้รับการยกเว้นค่าตอบแทนทั้งหมดหากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในทางราชการแต่หน่วยงานต้องรายงานผลการติดตั้งให้กรมธนารักษ์ทราบเมื่อแล้วเสร็จ

2. หน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เช่าที่ราชพัสดุ - จะไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่มเช่นเดียวกันหากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในหน่วยงานของรัฐ แต่ต้องขออนุญาตกรมธนารักษ์ก่อนดำเนินการ

3. รัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ผลิตหรือจำหน่ายไฟฟ้า (กฟผ., กฟน., กฟภ.) - หากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองจะไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่มโดยต้องขออนุญาตกรมธนารักษ์ก่อนดำเนินการ แต่หากติดตั้งเพื่อขายไฟเข้าระบบกรมธนารักษ์จะผ่อนปรนค่าเช่าในอัตราต่ำสุด เช่น Solar Rooftop เก็บค่าเช่าเพียง 2 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือนหรือ 2 บาท ต่อตารางวาต่อเดือน ส่วน Solar Farm หรือ Floating Solar คิดค่าเช่าที่ดินเพียง 0.75%ของมูลค่าที่ดินต่อปี ซึ่งถือว่าลดลงถึง 75% จากอัตราปกติ

4. ผู้เช่าเอกชน - กรณีติดตั้งเพื่อใช้ไฟเองภายในครัวเรือน (ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์)หรือใช้ในกิจการตามกฎหมายการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่มแต่ต้องขออนุญาตกรมธนารักษ์ก่อน หากติดตั้งเพื่อขายไฟเข้าระบบจะต้องเช่าเพิ่มในอัตราผ่อนปรน โดย Solar Rooftop คิดค่าเช่า 2 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน หรือ 2 บาทต่อตารางวาต่อเดือน ส่วน Solar Farm หรือ Floating Solar จะเก็บค่าเช่าที่ดิน 1.5% ของมูลค่าที่ดินต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงถึง 50% จากอัตราปกติ

5. การเปิดประมูลจัดให้เช่าใหม่ สำหรับพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้เช่ากรมธนารักษ์จะเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาลงทุนโครงการ Solar Farm หรือ Floating Solar โดยกำหนดค่าแรกเข้า 0.5% ของมูลค่าที่ดินตามจำนวนปีที่เช่า และค่าเช่าที่ดิน 1.5% ของมูลค่าที่ดินต่อปี(ลดลงครึ่งหนึ่งจากอัตราปกติ)

ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมโครงการต้องทำประกันความเสียหายเฉพาะพื้นที่ติดตั้งเพื่อคุ้มครองกรณีเกิดอัคคีภัยและเหตุทั้งปวงและต้องรายงานผลการลดก๊าซเรือนกระจกต่อกรมธนารักษ์ทุกปี เพื่อให้สามารถรวบรวมและรายงานเป็นภาพรวมของที่ราชพัสดุต่อกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และหากเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจจะต้องแบ่งปันคาร์บอนเครดิต 5% ให้เป็นรายได้แผ่นดินผ่านกรมธนารักษ์ด้วยจับมือกองทัพเรือต้นแบบการใช้ที่ราชพัสดุเพื่อผลิตพลังงานสะอาด

ดร.เอกนิติ กล่าวว่า ความร่วมมือกับกองทัพเรือ นับเป็นก้าวสำคัญของโครงการนำร่องที่จะเปลี่ยนพื้นที่ราชพัสดุในความครอบครองของกองทัพเรือให้กลายเป็นต้นแบบพลังงานสะอาดของประเทศไทยโดยเริ่มจากโครงการ Floating Solar ที่กรมอู่ทหารเรือ ก่อนจะขยายผลสู่พื้นที่อีก 6 แห่ง อาทิค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ศูนย์ฝึกทหารใหม่ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ กองการบินทหารเรือ และกองเรือฟรีเกตที่ 1 รวมกำลังการผลิตพลังงานกว่า 42,000 kWp เมื่อโครงการเดินหน้าเต็มรูปแบบ คาดว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าของกองทัพเรือได้กว่า 20% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 63,000 ตันต่อปี นี่ไม่เพียงเป็นการลดภาระงบประมาณ แต่ยังเป็นพลังสะอาดที่ส่งผลโดยตรงต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ และที่สำคัญคือการสร้าง “ต้นแบบแห่งการเปลี่ยนผ่านพลังงาน” ที่หน่วยงานอื่นสามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคตเปลี่ยนพื้นที่ที่ถูกมองข้าม ให้เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Net Zero โครงการ Clean Energy คือภาพสะท้อนบทบาทใหม่ของกรมธนารักษ์ที่ไม่เพียงทำหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของแผ่นดิน แต่พร้อมก้าวขึ้นเป็นกลไกขับเคลื่อนอนาคตของประเทศผ่านการสร้างมูลค่าและคุณค่าใหม่จากที่ราชพัสดุ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในมิติพลังงาน เศรษฐกิจ และสังคม

ดร.เอกนิติ กล่าวปิดท้ายว่า “Clean Energy ไม่ได้เป็นแค่โครงการด้านพลังงานเท่านั้น แต่คือวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของที่ราชพัสดุ ที่จะถูกเปลี่ยนจากพื้นที่ที่เคยถูกมองข้าม ให้กลับมามีพลังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมธนารักษ์ในการ เพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดินขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน