วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568 05:53 น.

เศรษฐกิจ

OR เดินหน้าสู่ยุคพลังงานใหม่ ชูกลยุทธ์รองรับพลังงานสะอาดโลก

วันอังคาร ที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.13 น.

OR เดินหน้าสู่ยุคพลังงานใหม่

ชูกลยุทธ์รองรับพลังงานสะอาดโลก

 

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมเดินหน้าสู่ยุคพลังงานใหม่ ซึ่งต้องเปิดภาพอนาคตขององค์กรที่เติบโตมาจากธุรกิจน้ำมัน ขณะเดียวกันกำลังวางรากฐานครั้งใหญ่เพื่อรองรับโลกพลังงานสะอาดที่ขยายตัวรวดเร็วยิ่งกว่าที่ผ่านมา

 

 

 ทางเลือกพลังงานสะอาดให้ผู้บริโภค EV

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า OR ไม่ได้มอง EV เป็นตัวแทนที่จะมาแทนธุรกิจเดิม หากแต่เป็นการต่อยอดเพื่อเปิดทางเลือกพลังงานสะอาดให้ผู้บริโภค EV ไม่ได้มาแทนธุรกิจน้ำมัน แต่เป็นการต่อยอด เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกพลังงานสะอาด และใช้เวลาอยู่ในสถานีบริการมากขึ้น

ทั้งนี้ยกระดับสถานีบริการจากจุดแวะเพียงไม่กี่นาที ไปสู่พื้นที่ที่ผู้คนใช้เวลาได้ยาวขึ้นอย่างมีความหมายตามธรรมชาติของการชาร์จไฟฟ้า ผ่านแนวคิด Time Spent Expansion ซึ่งต้องการขยายระยะเวลาใช้งานในสถานีจากเดิมประมาณ 5 นาทีให้เพิ่มขึ้นเป็น 45 นาที ด้วยการพัฒนาพื้นที่ PTT Station และ OR SPACE รวมถึงบริการเสริมที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันทั้งด้านอาหาร ไลฟ์สไตล์ และสุขภาพ

 

 

โดยการเดินหน้าครั้งนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้า ซึ่งการชาร์จรถต้องใช้เวลาและเปิดโอกาสให้ธุรกิจอื่นเติบโตตามไปด้วย EV Charging ถูกวางให้เป็นฟังก์ชันหลักที่ดึงให้ลูกค้าเข้ามาใช้พื้นที่มากขึ้นและทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมของระบบนิเวศที่ครบวงจรภายในสถานี

ขณะเดียวกัน OR ยังเดินหน้าขยายแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มทั้งในเครือและพันธมิตร ตั้งแต่ Café Amazon เขียง Pacamara QSR รุ่นใหม่ ไปจนถึงแบรนด์หน้าใหม่ เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย รวมถึงบริการประจำวันอย่างคลินิกโอบอ้อม found&found และ Otteri ที่ช่วยให้สถานีบริการกลายเป็นพื้นที่ใช้ชีวิตได้จริง

แนวคิด OR SPACE ถูกออกแบบให้เป็นภาพอนาคตของสถานีบริการที่รองรับ Energy Transition และเปิดโอกาสให้เกิดรายได้ใหม่ที่เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้สถานีบริการแต่ละแห่งไม่ได้เติบโตจากธุรกิจพลังงานอย่างเดียว แต่เติบโตจากรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปพร้อมเทคโนโลยีใหม่

อีกมิติหนึ่ง OR เดินหน้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานผ่าน EV Station PluZ ที่ตั้งเป้าสร้างการเดินทางที่สะดวก ต่อเนื่อง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยวางเป้าหมายขยายหัวชาร์จ DC ให้ถึง 7,000 จุดภายในปี 2030 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของตลาดสถานีชาร์จในประเทศ และสอดคล้องกับนโยบายรัฐ 30@30 ที่ตั้งเป้ามี DC Chargers รวม 12,000 จุดภายในปีเดียวกัน

ปัจจุบันเครือข่ายชาร์จ EV Station PluZ ครอบคลุมมากกว่า 1,200 สถานีทั่วประเทศ มีหัวชาร์จรวม 3,376 หัว แบ่งเป็น DC 2,555 หัว และ AC 821 หัว ซึ่งกระจายทั้งในสถานี PTT Station สถานี LPG NGV ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และพื้นที่เชิงพาณิชย์

สะท้อนความแตกต่างระบบไฟฟ้าไทย-จีน

หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวถึงความแตกต่างของระบบไฟฟ้าไทยเมื่อเทียบกับจีนว่า แม้จีนจะใช้ซูเปอร์ชาร์จเจอร์กำลังสูงได้อย่างแพร่หลาย แต่โครงสร้างไฟฟ้าของประเทศไทย ยังไม่พร้อมรองรับหัวชาร์จกำลังสูงจำนวนมากพร้อมกัน เพราะอาจทำให้โหลดไฟเกินขีดความสามารถของระบบได้ มองว่าจุดสมดุลที่สุดทั้งในปัจจุบันและอีก 2 ปีข้างหน้าคือกำลังชาร์จระดับประมาณ 120 kW ซึ่งใช้เวลาชาร์จราวครึ่งชั่วโมง ทั้งรองรับรถส่วนใหญ่ในตลาดและไม่กระทบเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า OR จึงต้องออกแบบสถานีบริการให้รองรับการใช้เวลาครึ่งชั่วโมงนี้ได้จริง ทั้งในเชิงพื้นที่และบริการเสริมภายในสถานี

สำหรับจีนมีซูเปอร์ชาร์จเจอร์ได้ เพราะระบบไฟแข็งแรง แต่ถ้าเอามาตั้งในไทยพร้อมกันหลายหัว ไฟดับทั้งหมู่บ้านแน่นอน เพราะโครงสร้างระบบไฟเรายังไม่รองรับ จุดสมดุลของไทยตอนนี้และในอีกสองปีคือประมาณ 120 kW ชาร์จครึ่งชั่วโมง ซึ่งทั้งรถรองรับได้และระบบไฟก็รับไหว OR จึงต้องทำสถานีบริการที่รองรับการใช้เวลาครึ่งชั่วโมงนี้ให้ได้จริง

 

 

ส่วนการเติบโตนี้ช่วยสนับสนุนการมุ่งสู่ Carbon Neutrality 2050 ของประเทศ และเป้าหมาย Net Zero GHG ของกลุ่ม ปตท. ผ่านการส่งเสริมการใช้งาน EV ซึ่งสามารถลดการปล่อย CO₂ ได้ 37–69% เมื่อเทียบกับรถใช้น้ำมัน พร้อมเตรียมเชื่อมโครงข่าย EV Charging เข้ากับพลังงานหมุนเวียนและระบบอัจฉริยะในอนาคต เช่น Green Energy Integration และ Smart Charging ที่จะทำให้การชาร์จไฟเป็นส่วนหนึ่งของระบบพลังงานสะอาดครบวงจร

OR ปรับยุทธศาสตร์บุกต่างประเทศ

OR เดินหน้าปรับยุทธศาสตร์ต่างประเทศที่มีความสำคัญ หลังเผชิญความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมืองในหลายประเทศ แม้ว่าธุรกิจต่างประเทศจะถูกวางให้เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของการเติบโต แต่การดำเนินงานในประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างมีนัยสำคัญเพื่อรักษาความแข็งแกร่งขององค์กรในระยะยาว

โดยแนวทางหลักคือการนำสูตรความสำเร็จในไทยไปต่อยอดในประเทศที่มีความเหมาะสมที่สุด เช่น กัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนาม ซึ่งไทยมีความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ระบบคมนาคม การขนส่งพลังงาน และเครือข่ายโลจิสติกส์

อย่างไรก็ตาม คาดว่า เมียนมา ลาว และกัมพูชาเป็นตลาดที่ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ได้ แต่ในช่วงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว OR จำเป็นต้องชะลอการลงทุนใหม่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งกำลังเผชิญการแข่งขันรุนแรงและปัจจัยทางการเมืองที่สร้างความไม่แน่นอนมากกว่าที่ผ่านมา