วันอาทิตย์ ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2568 13:40 น.

การศึกษา

ฝึกฝนตนเองท่ามกลางหิมะ : จิตวิญญาณนาโรปะ

วันอาทิตย์ ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567, 14.33 น.

เมื่อวันที่ 20  ตุลาคม 2567  เพจ Suthito Aphakaro ได้โพสต์ข้อความว่า ฝึกฝนตนเองท่ามกลางหิมะ : จิตวิญญาณนาโรปะ

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยไปเยี่ยมเยือนวัด Atitse Temple ที่สร้างขึ้นในราวคริสศตวรรษที่ ๑๑ หรือพันกว่าปีที่ผ่านมาระดับความสูง ราว ๓๐๐๐ เมตร และได้รับเกียรติให้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติกรรมฐานและห้องครัวของท่าน“นาโรปะ” ผู้โด่งดัง ผู้ที่ฝึกฝนตนเองบนพื้นที่สูง ท่ามกลางความหนาว หิมะ บริเวณตอนเหนือของเลดาลักห์ อินเดีย ซึ่งขอนำประวัติของท่านมาดังนี้
     
ท่านนโรปะ (ราว ค.ศ. ๑๐๑๖-๑๑๐๐) เป็นผู้ฝักใฝ่ในพุทธศาสนาตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ และรู้สึกเบื่อหน่ายความสุขทางโลก จึงได้เริ่มศึกษาธรรมะในเขตแคชเมียร์ท่านปรารถนาที่จะออกบวช แต่พ่อแม่ไม่อนุญาตและให้แต่งงานกับสาวพราหมณ์เพื่อมีทายาทสืบสกุล ท่านนาโรปะทำตามความคาดหวังดังกล่าว ได้แต่งงานมีครอบครัวไปได้นานถึง ๘ ปี จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจที่จะออกบวชจากโลกียวิสัย ท่านได้แยกทางกับภรรยาเพื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ใช้ชีวิตสมณะศึกษาพระธรรมอยู่ในมหาวิทยาลัยนาลันทา

ท่านนาโรปะใช้เวลาหลายปีศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยจนทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าจะเป็นในคัมภีร์พระไตรปิฎก ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม คัมภีร์ปรัชญาปารามิตาสูตรของฝ่ายมหายาน รวมถึงคำสอนในขั้นของตันตระ จนในที่สุดเขาได้ถูกเลือกให้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยนาลันทา ทุกคนรู้จักนาโรปะในฐานะพระนักปราชญ์มหาบัณฑิตที่เก่งกาจที่สุด
จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังอ่านคัมภีร์คุยหสมาชตันตระ ( Guhya Samaja Trantra ) อยู่นั้น ได้มีหญิงชราที่มีลักษณะอัปลักษณะ ๓๗ ประการ เช่น ผิวหม่นคล้ำเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตาสองข้างสีแดงที่จมฝังอยู่ในเบ้าตาอันเหี่ยวย่น ผมสีน้ำตาลจางๆสลับหงอกขาว ริมฝีปากเหี่ยวย่นและบิดเบี้ยว กับฟันที่ผุเน่าเหม็น เธอเดินกระเผลกๆ ด้วยไม้เท้าเก่าๆ ปรากฎกายขึ้น และขอให้ท่านนโรปะอ่านคัมภีร์ให้นางฟัง 

จากนั้นเธอจึงเอ่ยถามว่า "เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่" นาโรปะตอบไปว่าเขากำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหนังสือหลักปรัชญาพุทธศาสนาอันลึกล้ำ หญิงแก่จึงถามต่อไปว่า "เจ้าเข้าใจตัวอักษรหรือเข้าใจความหมายที่แท้" ท่านนาโรปะจึงตอบไปว่าเขาเข้าใจทุกประโยค ทุกตัวอักษรที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นเป็นอย่างดี หญิงแก่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ เต้นรำควงไม้เท้าไปมาอย่างลิงโลด นาโรปะเห็นเธอมีความสุขเช่นนั้น จึงบอกเธอเพิ่มไปว่า เขามีความเข้าใจในความหมายที่แท้ของมันด้วย แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงแก่ก็เริ่มตัวสั่นเทา ร้องไห้ สะอึกสะอื้น แล้วทรุดฮวบลงไปกับไม้เท้าเก่าๆ ด้ามนั้น ท่านนาโรปะเห็นเช่นนั้นจึงถามหญิงแก่ถึงสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ของเธอเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน เธอจึงบอกนาโรปะไปว่า "เมื่อนักปราชญ์มหาบัณฑิตอย่างเจ้ายอมรับว่า เจ้าเข้าใจเพียงความหมายตามตัวอักษรของหลักธรรมะที่เจ้าอ่าน เจ้าพูดความจริง อันทำให้ข้ามีความสุข แต่เมื่อเจ้าโกหกว่าเจ้าเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของหลักธรรมนั้นๆ มันทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก"

นาโรปะได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เขารู้แก่ใจว่าสิ่งที่หญิงแก่พูดเป็นความจริงทุกประการ แรงบันดาลใจแห่งการค้นหา "ความหมายแห่งชีวิตที่แท้" ได้ผุดบังเกิดขึ้นในใจ เขาจึงได้ถามหญิงแก่ไปว่า "แล้วใครกันที่เข้าใจความหมายที่แท้ แล้วฉันจะสามารถรู้แจ้งในความหมายที่ว่านั้นได้ด้วยวิธีการใด" หญิงแก่ยกไม้เท้าชี้ไปที่ป่าทึบพร้อมกล่าวว่า "เขาผู้นั้นคือ "น้องชาย"ของข้า จงออกเดินทางตามหาด้วยตัวเจ้าเอง แสดงความเคารพ แล้วขอให้เขาสอนความหมายที่แท้แห่งธรรมะให้แก่เจ้า" พอกล่าวจบทาคิณีในคราบหญิงแก่อัปลักษณ์ก็หายตัวไปในบัดดล "ราวกับเงารุ้งในฟากฟ้า"
         
เราอาจจะปฏิเสธความน่าเชื่อถือของตำนานที่ว่านี้ เพราะมันออกจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินกว่าที่จะจริงจังไปกับมัน โดยเฉพาะคนที่มีชื่อเสียงและความสำเร็จอย่างนาโรปะด้วยแล้ว ออกจะเป็นเรื่องง่ายที่จะหันกลับไปยึดมั่นกับความสำเร็จทางโลกที่เขาสั่งสมมาอย่างที่ไม่จำเป็นจะต้องไปให้ความสำคัญกับคำพูดของคนแปลกหน้าอย่างหญิงแก่นางนั้น แต่ในกรณีของนาโรปะ วินาทีนั้นบ่งบอกถึงบางสิ่งบางอย่างในตัวเขาที่อยู่เหนือความคับแคบของอัตตา อันเป็นสิ่งที่เขาโหยหามานานแสนนาน เขาพร้อมที่จะอุทิศชีวิตที่เหลือของเขาในการค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่แท้ ท่านนาโรปะจึงตัดสินใจประกาศลาออกต่อหน้าที่ประชุมของเหล่าพระนักปราชญ์ทั้งหลาย เพื่อออกเดินทางตามหาบุคคลที่เขาแทบจะไม่รู้แม้กระทั่งความจริงที่ว่า "น้องชาย" ของหญิงแก่ที่ว่านั้นมีชีวิตอยู่บนโลกนี้จริงๆ หรือไม่

พระสงฆ์ที่นาลันทาต่างก็คิดว่านาโรปะได้เสียสติไปแล้ว พวกเขาพยายามหว่านล้อมนาโรปะให้หันกลับมาให้คุณค่ากับวิถีชีวิตของพระสงฆ์ที่ต่างเพียบพร้อมไปด้วยการศึกษาและศีลจรรยาที่สูงส่ง อันแสดงถึงเป้าหมายที่ชัดเจนของพุทธศาสนา ความคิดที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่านั้นจึงถูกมองเป็นบาปหนักต่อโพธิ์ใหญ่แห่งพุทธธรรมที่งอกงาม เหล่าเพื่อนๆ ของนาโรปะต่างช่วยกันทุกวิถีทาง ให้นาโรปะได้หวนคิดถึงช่วงเวลาและสิ่งต่างๆ ที่เขาได้ทุ่มเทไปกับการศึกษาร่ำเรียน หน้าที่การงานในมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งชื่อเสียงเกียรติยศที่เขาได้สั่งสมมาในฐานะนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อันไม่ควรถูกทิ้งขว้างอย่างง่ายดายด้วยเช่นนี้ กษัตริย์ในมณฑลนั้นจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และหากนาโรปะยืนยันต่อการตัดสินใจครั้งนี้ ก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ชื่อเสียงทั้งหมดของเขาจะถูกทำลายป่นปี้ อย่างไม่มีทางจะเรียกคืนกลับมาได้เหมือนเก่า อย่างไรก็ดี นาโรปะไม่ได้หวั่นไหวไปกับคำขู่เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เขาสละหนังสือและพระคัมภีร์ทั้งหลายทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย หยิบเพียงบาตร ย่ามและสิ่งของติดตัวไม่กี่อย่าง แล้วมุ่งหน้าไปยัง "ทิศตะวันออก" สู่ป่าทึบสลับกันทะเลทรายผืนกว้าง เพื่อตามหาคุรุของเขา

นาโรปะพบว่าการเดินทางแสวงหาอาจารย์ของเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก ความสับสน และความท้อแท้ สิ้นหวัง หลายต่อหลายครั้งที่เขาพบกับเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่นาโรปะคิดไปว่ามันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการตามหาอาจารย์ของเขา แต่กลับมาตระหนักได้ในภายหลังว่าเหตุการณ์เหล่านั้นคือร่องรอยการปรากฏตัวของทีโลปะ ดูเหมือนยิ่งเดินท่องไปมากเท่าไร ท่านนาโรปะก็ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคภายในจิตใจของเขาเองมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรมะที่มีอยู่เต็มหัว ความหลงทนงตนที่ถูกสะสมมาตลอดช่วงเวลาของการร่ำเรียน และความอวดดีว่าตัวเองนั้นเข้าใจถึงความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ในที่สุดนาโรปะก็มาถึงจุดที่เขารู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทนกับการพยายามตามหาทีโลปะ จิตของเขาทั้งฟุ้งและวิ่งวุ่นอย่างไม่มีหยุดพัก ร่างกายรู้สึกราวกับจะระเหิดหาย ส่วนจิตใจก็ตกสู่ภาวะสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด โชคชะตาดูเหมือนจะกำลังเล่นตลกกับเขา ชีวิตเก่าก็ได้โยนทิ้งไปหมดสิ้น ส่วนชีวิตใหม่ตามหาเท่าไรก็ไม่มีที่ท่าว่าจะพบ

ในขณะที่รู้ดีว่า เขาคงไม่มีทางหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าได้อีก หนทางข้างหน้าก็ดูจะเต็มไปด้วยอุปสรรคที่กีดขวางการค้นพบศักยภาพภายในตัวเขา ความสิ้นหวังได้พานาโรปะมาถึงจุดที่เขาเชื่อว่า คงเป็นเพราะบาปกรรมที่เขาได้ทำไว้ในอดีตชาติ ที่ทำให้ชาตินี้เขาคงไม่มีทางที่จะได้พบกับคุรุที่เขาเฝ้าตามหา เขาจึงตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย นาโรปะได้หยิบมีดขึ้นมาแล้วเตรียมที่จะปาดคอตัวเอง

ทันใดนั้น ท่านทีโลปะ (๙๘๘-๑๐๖๘) ในร่างของชายผิวน้ำเงินคล้ำได้ปรากฏตัวต่อหน้านาโรปะ ทีโลปะบอกกับนาโรปะว่า "ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าตัดสินใจออกเดินทางตามหาคุรุ ข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้าตลอดเวลา เป็นเพียงเพราะกิเลสตัณหาพรางตาไม่ให้เจ้าเข้าใจความจริงในข้อนี้ แต่กระนั้นเจ้าก็ดูจะเป็นภาชนะที่คู่ควรต่อสายธารธรรม ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถรับการถ่ายทอดคำสอนสูงสุดได้ ดังนั้นข้าจึงยินยอมที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์"

ช่วงเวลาสิบสองปีหลังจากนั้น นาโรปะผู้ได้กลายเป็นศิษย์ของทีโลปะ ได้ผ่านกระบวนการฝึกฝนที่ยากลำบากเหลือประมาณ ทีโลปะได้ให้แบบทดสอบทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ความเข้มข้นของกระบวนการฝึกได้แสดงถึงความใส่ใจและความเข้าใจที่ทีโลปะมีต่ออุปสรรคภายในที่นาโรปะสะสมมาในอดีต แต่ละถ้อยคำสอนดูเหมือนจะบาดลงไปยังตัวตนของนาโรปะอย่างไม่ปรานี จนหนีไม่พ้นกับความรู้สึกที่ว่าการกระทำของทีโลปะดูช่างไร้ศีลธรรม และได้ทำร้ายชีวิตและจิตใจของศิษย์ผู้นี้อย่างเลวร้ายที่สุด แต่กระนั้นทีโลปะก็ได้เผยให้นาโรปะได้เห็นการดำรงอยู่ของชีวิตที่เป็นอิสระ กว้างใหญ่ ใสชัด ประภัสสร อันเป็นคุณลักษณะที่ก้าวพ้นทวินิยมถูกผิดและการเกิดดับของอัตตาที่คับแคบ ตลอดช่วงเวลาที่ว่านี้ทีโลปะแทบจะไม่ได้พูดสอนอะไรมากมาย คำสอนที่นาโรปะได้รับเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ไม่ต้องการคำอธิบาย เป็นประสบการณ์ตรงของความทุกข์ ความเจ็บปวด รวมถึงการกระทำที่ดูไร้ความหมายแต่กลับมีนัยให้เขาได้ลองปฏิบัติตาม การเดินทางของท่านนาโรปะดูจะปราศจากความปลอดภัย และคำยืนยันใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถยืนหยัด อดทน ด้วยความศรัทธาต่อตันตราจารย์ทีโลปะอย่างไม่สั่นคลอน นาโรปะไม่เคยมีความคิดที่จะย้อนกลับไปสู่ทางเลือกอื่น เพราะเขาตระหนักดีว่าเส้นทางชีวิตของเขาดูจะไม่มีทางเลือกอีกต่อไป

ท่านนโรปะจึงตั้งใจเดินทางค้นหาคุรุอีกครั้งหนึ่งด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า หมั่นภาวนาถึงคุรุติโลปะทุกเช้าค่ำ โดยไม่ย่อท้อตลอดการเดินทาง จนได้พานพบบทเรียนสำคัญ ๑๒ ประการ ที่คุรุติโลปะได้สั่งสอนผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนที่ท่านจะยอมปรากฏตัวพบกับท่านนโรปะ 

ตัวอย่างบทเรียนในทางจิตวิญญาณของท่านนาโรปะ

บทเรียนที่ ๑
หลังจากที่ท่านนโรปะเริ่มต้นเดินทางอีกครั้งหนึ่งได้ไม่นาน ท่านก็มาถึงทางเท้าแคบ ๆ เส้นหนึ่ง ที่ด้านหนึ่งเป็นหินผา ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นแม่น้ำ เบื้องหน้าของท่านเป็นหญิงป่วยด้วยโรคเรื้อน ขั้นรุนแรงนอนขวางทางเดินอยู่ ตามเนื้อตัวของนางเต็มไปด้วยแผลมีเลือดและน้ำหนองไหลเยิ้ม แขนขาทั้ง ๒ ข้างก็เน่าเฟะส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เมื่อนางเห็นท่านนโรปะ นางได้กล่าวขึ้นมาว่า

" ข้าเสียใจที่มาขวางทางเดินของท่าน แต่ข้ามิอาจขยับตัวได้เลย ดังนั้น หากท่านประสงค์จะเดิน ทางต่อ ท่านคงมีทางเลือกอยู่ ๓ ทาง คือ หนึ่งช่วยอุ้มข้าออกไปให้พ้นทาง หรือ กระโดดข้ามร่าง ข้า และสุดท้ายก็โปรดหาเส้นทางเดินใหม่เถิด "

ท่านนโรปะไม่รู้จะทำประการใดดี สุดท้ายท่านก็ตัดสินใจเอามือปิดจมูกเมินหน้าหนีไปทางอื่น เพราะรู้สึกสะอิดสะเอียนเกินกว่าจะทนมองร่างของนาง และกระโดดข้ามร่างของนางไป ทันใด นั้นก็มีเสียงดังก้องมาจากฟากฟ้าว่า

"หากบุคคลใดปรารถนาที่จะฝึกฝนต่อบนเส้นทางธรรมแห่งมหายาน บุคคลนั้นต้องเปี่ยมด้วย ความรักและความเมตตา หาแล้วไม่ย่อมไม่มีวันพบคุรุที่ประเสริฐ และย่อมไม่อาจบรรลุผลของ เส้นทางธรรมสายนี้ได้ จงตระหนักเถิดว่าสรรพชีวิตทั้งปวง ล้วนแต่เคยเป็นบิดามารดาเราทุก คนมาก่อน นั่นคือเหตุผลว่า หากผู้ใดปรารถนาเดินบนเส้นทางธรรมแห่งมหายาน ย่อมไม่อาจ แบ่งแยกกีดกันชีวิตใดชีวิตหนึ่ง พึงมอบความรักและเมตตาให้เสมอเหมือนเท่าเทียมกันโดยไม่ แบ่งแยก "

หลังจากนั้นท่านนโรปะจึงหมั่นสร้างโพธิจิตให้บังเกิด และเพิ่มความรักและความเมตตาให้ขยาย ออกไปโดยไม่มีข้อจำกัด

บทเรียนที่ ๒
เมื่อท่านนโรปะออกเดินทางต่อจนมาถึงริมแม่น้ำ ปรากฎว่ามีสุนัขตัวหนึ่งนอนบาดเจ็บขวางทาง เดินอยู่ ตามลำตัวของมันเต็มไปด้วยแผลเน่าเปื่อยและหนอนไต่อยู่เต็มไปหมด มันได้แต่เห่าอย่าง ดุร้ายเมื่อมันเห็นท่านนโรปะ ตอนแรกท่านนโรปะพยายามหาหนทางที่จะขยับตัวมันให้พ้นทางไป แต่ไม่เป็นผล ในที่สุดท่านได้ตัดสินใจกระโดดข้ามตัวมัน และแล้วก็มีเสียงดังก้องจากฟากฟ้าว่า

" หากบุคคลใดยังไม่เข้าใจว่า ทุกชีวิตทั่วทั้ง ๖ ภพในโลกนี้ ล้วนแต่เคยเวียนว่ายเป็นบิดามารดา ของกันและกันมาก่อน บุคคลผู้นั้นย่อมไม่มีวันที่จะได้มาพบคุรุผู้ประเสริฐ หรือแม้แต่ครูเลว ๆ สักคนหนึ่ง"

ทั้งนี้ชาวธิเบตเชื่อในเรื่องของการกลับชาติมาเกิด ดังนั้น จึงถือว่าทุกชีวิตในภพภูมิทั้งหกล้วน แต่ เคยเกิดเป็นบิดามารดาของตนมาก่อนไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นเทพ ยักษ์ มนุษย์ สัตว์ เปรต หรือแม้แต่ สัตว์นรก ตามวงล้อแห่งวัฏสงสาร ดังนั้น วิถีพุทธแบบธิเบตจึงมีความรัก ความเมตตาต่อกันและ กัน ไม่เลือกว่าชิวิตนั้น ๆ จะอยู่ในภพภูมิใด

บทเรียนที่ ๓

ท่านนโรปะเดินทางต่อจนพบชายคหนึ่งซึ่งบอกทางให้ท่านนโรปะเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของ ภูเขา จนกว่าจะพบชายที่ชอบตัดศรีษะมนุษย์มาทุบเล่นกับก้อนหิน แล้วท่านนโรปะจะทราบ ข่าวของคุรุติโลปะจากชายคนนี้ ดังนั้น ท่านนโรปะจึงเดินอ้อมเขาไปอีกด้านหนึ่งจนพบชายคน นั้นกำลังทุบศรีษะมนุษย์อยู่ และเมื่อท่านถามชายคนนั้นว่าคุรุติโลปะอยู่ที่ใด ชายคนนั้นกลับ ตอบว่า จะยอมตอบเมื่อท่านนโรปะจะตัดศรีษะมนุษย์มาทุบเล่นดังเช่นที่เขาทำ ซึ่งท่านนโรปะ ถึงกับคิดขึ้นมาในใจว่า

" ข้าเป็นนักบวช เป็นถึงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนาลันทา เหตุใดมาสั่งข้าให้ทำเช่นนี้ " ทันใดทุกสิ่งก็อันตรธานหายไป พร้อมกับมีเสียงดังจากฟากฟ้าว่า

" การจะรู้แจ้งนั้น เจ้าต้องกำจัดอัตตา ละพยศความเย่อหยิ่งจองหองยึดมั่นนตัวตนของเจ้าให้ หมดเสียก่อน ตราบใดที่เจ้ายังยึดมั่นในอัตตาตัวตน ไม่ตระหนักว่าตัวตนของเจ้าก็เป็นเพียง มายา เจ้าย่อมไม่มีวันเข้าถึง ธรรมอันแท้จริงใด ๆ ได้ "

ทั้งนี้ การที่ท่านนโรปะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ค่อนข้างเลวร้ายเช่นนี้ เป็นเพราะท่านนโรปะได้ ศึกษาฝึกฝนปฏิบัติธรรมมานานจนจนถึงขั้นเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนาลันทา แต่อุปสรรคสำ คัญในการก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งขึ้นไปของท่านก็คือ การยึดมั่นในอัตตาตัวตนของความเป็น ปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองนั่นเอง ซึ่งครูที่ดีย่อมหาหนทางที่จะขจัดอุปสรรคในการก้าวหน้าทาง ธรรมของศิษย์โดยเฉพาะหากอุปสรรคนั้นคือความยึดมั่นในอัตตาตัวตนด้วยแล้ว ย่อมเป็นเรื่อง ยากที่จะขจัด โดยเฉพาะหากจะต้องขจัดให้หมดไปกระทั่งในระดับที่ละเอียดอ่อนที่สุดของจิต ดังนั้น คุรุติโลปะ จึงเลือกบทเรียนที่ต้องยากยิ่งขึ้น ซับซ้อนยิ่งขึ้นให้แก่ท่านนโรปะ เพื่อขจัดอุป สรรคของการยึดมั่นในอัตตาของท่านนโรปะให้หมดสิ้น

ซึ่งจากบทเรียนครั้งนี้เองที่ท่านนโรปะเองก็ตระหนักว่า ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นเป็นบทเรียน ที่คุรุติโลปะสั่งสอนให้ท่านต้องเรียนรู้ ต้องผ่านให้ได้ ก่อนที่จะมีโอกาสพบคุรุของตนเอง และ ท่านตั้งปณิธานว่าจากนี้ไปท่านจะต้องผ่านทุกบทเรียนที่จะเข้ามาอีกอย่างดีที่สุด

บทเรียนที่ ๔

ครั้งนี้ท่านนโรปะจะต้องเผชิญกับบทเรียนที่ยากขึ้นไปอีก เมื่อท่านได้เดินทางมาจนพบกับชาย ๒ คน กำลังช่วยกันคว้านท้องชายเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งที่ถูกจับมัดจนลำไส้ทะลักออกมา เมื่อท่านนโรปะ สอบถามชายทั้งสองว่ารู้จักคุรุติโลปะหรือไม่ ชายทั้งสองตอบว่ารู้จัก และยินดีจะบอกทางให้ หาก ท่านนโรปะจะช่วยพวกเขาสับลำใส้ของชายเคราะห์ร้ายเสียก่อน ซึ่งท่านนโรปะไม่อาจทนเห็น ความเจ็บปวดของชายผู้นั้นได้จึงตอบปฏิเสธ จากนั้นทุกอย่างก็อันตรธานหายไป และเสียงจาก ฟากฟ้าก็ดังขึ้นมาว่า

"รากเหง้าของสังสารวัฏก็คือการยึดมั่นในการมีตัวตนของตนว่ามีอยู่จริง ทั้งที่การตั้งอยู่ในความ คิดเชื่อว่ากายนี้เป็นของเรา เป็นตัวตนของเราควรจะละทิ้งข้ามผ่านไปให้ได้ "

ครั้งนี้บทเรียนของคุรุติโลปะเพื่อช่วยขจัดความยึดมั่นในการมีตัวตนถึงขั้นละเอียดอ่อนของจิต และพึงสามารถรักษาภาวะจิตของตนให้มั่นคง สะอาดสว่างไม่สั่นคลอนไปตามภาวะการณ์ใด ๆ ไม่เกิดเป็นอารมณ์ตอบสนองเหตุการณ์ใด ๆ แม้เมื่อยามเผชิญเหตุการณ์เลวร้าย ซึ่งเป็นบท เรียนที่ยากที่สุดบทหนึ่งของการรักษาจิตไม่ให้สั่นไหว

บทเรียนที่ ๕

จากนั้นท่านนโรปะเดินทางมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง และพบกับเหตุการณ์ที่น่าสยดสยอง คือ ชายผู้หนึ่งกำลังเทน้ำเดือดลงไปนท้องที่ถูกคว้านของชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งร้องลั่นด้วยความเจ็บ ปวด พร้อมกับมีเลือดไหลทะลักออกมา ครั้งนี้ท่านนโรปะถูกขอร้องให้เป็นผู้เทน้ำเดือดแทนชาย คนนั้น ก่อนที่เขาจะยอมบอกว่าคุรุติโลปะอยู่ที่ใด แน่นอน ท่านนโรปะย่อมไม่อาจทำได้ และบท เรียนจากฟากฟ้าในคราวนี้ก็คือ

"คำสอนของคุรุก็เปรียบดังสายน้ำที่ไหลรินลงไป เพื่อขจัดความไม่บริสุทธิ์ทั้งปวงที่มีอยู่ภายใน ดวงจิตของศิษย์ หาใช่เป็นเพียงเครื่องชำระล้างขัดเกลาเพียงร่างกายและลักษณะท่าท่างภายนอกไม่ และครั้งนี้สิ่งที่เจ้าจะต้องขจัดออกไปจากจิตของเจ้าก็คือความยึดมั่นตัวตนของเจ้าว่า เป็นนักบวช เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ "

เมื่อได้ทราบถึงประวัติของท่านนาโรปะ วิถีการฝึกฝนของท่าน ท่านได้อยู่บนเขา ท่ามกลางหิมะ ท่านก็อยู่กับหิมะ เช่นเดียวกับพระสงฆ์ ในทิเบตก็ฝึกตนเองท่ามกลางหิมะ พระในญี่ปุ่นก็ใช้หิมะเป็นเครื่องฝึกฝนตนเอง พระสงฆ์เมื่อไปอยู่สถานที่แห่งใด ก็สามารถที่จะฝึกฝนตนเองตามภูมิอากาศของสถานที่แห่งนั้น  และได้พบเห็นห้องกรรมฐานของท่านที่วัด Atitse ที่นำเสนอตามภาพเหล่านี้ 
      
ข้าพเจ้าเชื่อว่า การฝึกตนนั้นมี หลายรูปแบบ คล้ายกับการบำเพ็ญทุกกรกิริยาของพระพุทธเจ้า วิถีการปฏิบัติของพระสงฆ์ ก็เช่นกัน สามารถปรับตัวและลองฝึกฝนกับสภาพภูมิอากาศที่ล้อมตัวเองจึงถือว่า “เป็นการหลอมรวมตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ”

ถวายกำลังใจคนที่อยู่กับความหนาว

หน้าแรก » การศึกษา