เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า การดำเนินวินัยสงฆ์กับพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสและมีตำแหน่งทางปกครองเป็นเจ้าคณะภาค 14 กรณีศาลอาญาออกหมายจับในข้อหายักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท เป็นหน้าที่ของพระที่มีสมณะหรือตำแหน่งสูงกว่า ได้กราบนิมนต์สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี ซึ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางซึ่งท่านรับดำเนินการแล้ว

"ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธได้เสนอให้ดำเนินการใน2ประเด็น 1.ต้องมีคำสั่งให้พ้นจากเจ้าคณะภาค 14 และ2.ต้องมีคำสั่งให้พ้นจากเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง โดยให้รองเจ้าอาวาสมารักษาการแทน เพื่อให้หมดอำนาจทางการปกครอง แล้วให้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงควบคู่กันไปกับการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน"

นายชูศักดิ์ ระบุว่า แม้เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงจะพ้นสภาพความเป็นพระ แต่ความผิดทางอาญายังมีอยู่ ถ้ามีการกระทำผิดตามที่มีการกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์สินของวัด แต่ต้องรอให้คดีสิ้นสุดก่อน เพราะในขณะนี้ยังเป็นเพียงการกล่าวหา ซึ่งการสอบข้อเท็จจริงจะนำไปสู่เรื่องของวินัยสงฆ์ทั้งหลายด้วย

 "ข่าวนี้ทำเอาช็อกวงการสงฆ์ตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่กำกับดูแลสำนักพุทธ ได้ออกนโยบาย 8 ข้อ เพื่อป้องกันการทำลายพระพุทธศาสนา มองว่ามีกระบวนการทำลายพระพุทธศาสนาหลายรูปแบบ และสำคัญที่สุดคือถ้าเป็นการกระทำของเราเองยิ่งร้ายแรงมากจึงให้สอดส่องดูแลเรื่องพวกนี้อย่างระมัดระวังเป็นเรื่องที่สำนักพุทธห่วงใยมาก"

ทั้งนี้ นายชูศักดิ์ ให้ผู้อำนวยการสำนักพุทธทั่วประเทศและทุกจังหวัดอย่าทำแค่พิธีการ ขอให้ดูแลสอดส่องพฤติกรรมการกระทำทั้งหลายของพระและคนที่เกี่ยวข้องที่เป็นขบวนการทำลายพระพุทธศาสนาอย่างใกล้ชิด

"เจ้าคณะใหญ่หนกลาง" มีคำสั่งพัก "เจ้าคุณแย้ม" ทุกตำแหน่ง

ต่อมาสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้ลงนามในคำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เรื่อง ให้พระสังฆาธิการพักจากตำแหน่งหน้าที่ ระบุว่า ด้วยปรากฏพฤติการณ์จากสื่อสารมวลชน ว่า พระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง เดินทางไปพบเจ้าพนักงานกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หลังจากทราบเรื่องว่าจะมีการดำเนินคดีในฐานความผิดทางอาญา ถ้าจะให้คงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ในระหว่างการสอบสวนจะเป็นการเสียหายแก่การคณะสงฆ์ อาศัยอำนาจตามความในข้อ 56 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ออกตามความใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 จึงให้ พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง พักจากตำแหน่งหน้าที่ทุกตำแหน่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 15 พ.ค. 2568

พร้อมกันนี้ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ยังมีคำสั่งเรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าคณะภาค 14 ระบุว่า ด้วย พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ถูกสั่งให้พักจากตำแหน่งหน้าที่ จึงไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ เพื่อมิให้งานในหน้าที่ต้องหยุดลง อาศัยอำนาจตามความในข้อ 11 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23 (พ.ศ. 2541) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ออกตามความใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 จึงแต่งตั้งให้ พระราชวชิรโมลี (สมชาย พุทฺธญาโณ) วัดระฆังโฆสิตาราม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 14 เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะภาค 14 ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 15 พ.ค. 2568
 

"กองปราบฯ" แถลงจับ "อรัญญาวรรณ" สาวหนุนเล่นพนันเสีย 300 ล้าน 

พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธุ์ ผบก.ปปป. กล่าวความคืบหน้าภายหลังศาลอนุมัติหมายจับ พระธรรมวชิรานุวัตรว่า สำหรับเรื่องดังกล่าว บก.ป. ได้รับแจ้งว่าเจ้าอาวาสได้มีพฤติกรรมยักยอกเงินของวัดไร่ขิง จึงส่งสายสืบไปแฝงตัวเข้าไปร่วมกิจกรรมในวัดนานหลายเดือน เพื่อหาข้อมูลสืบสวนสอบสวน จนกระทั่งพบหลักฐานว่ามีเส้นเงินโอนออกจากบัญชีวัด ไปยังบัญชีบุคคลภายนอก เป็นจำนวนเงินหลัก 100 ล้านบาท ในส่วนที่ไปพัวพันกับพนันออนไลน์ แต่รายละเอียดขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน

ส่วนการเดินทางเข้ามามอบตัวก่อนถูกออกหมายจับ ไม่มีผลต่อรูปคดี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำ ซึ่งผู้ต้องหาถูกกล่าวหาในฐานความผิด “เป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อหรือการรักษาทรัพย์ แต่กลับเบียดบังหรือทุจริตทรัพย์นั้นมาเป็นของตน, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต“ โดยพิจารณาว่าจะไม่ให้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน เบื้องต้นทางเจ้าอาวาส ยังไม่ขอให้การใดๆ แต่ยังไม่จบสิ้นกระบวนการสอบสวน

ทั้งนี้ ยังมีผู้ต้องหาอีก 1 ราย ที่ถูกออกหมายจับเพิ่มเติม คือ น.ส.อรัญญาวรรณ (สงวนนามสกุล) โดยคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาตำรวจกองบังคับการปราบปราม สามารถเข้าจับกุมได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งที่พัทยา ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ฐาน “เป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อหรือการรักษาทรัพย์ แต่กลับเบียดบังหรือทุจริตทรัพย์นั้นมาเป็นของตน, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต“ ขณะนี้อยู่ระหว่างนำตัวเข้ามาสอบปากคำที่ บก.ปปป.

ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวว่า ข้อมูลที่ทางเราได้มา เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินการขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งเดิมทีปฏิบัติการจะเริ่มต้นพรุ่งนี้ แต่ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนจึงชิงเข้ามอบตัวก่อนปฏิบัติการเพียงหนึ่งวัน ยืนยันว่าไม่ใช่แผนแตก ซึ่งตำรวจมีพยานหลักฐานที่จะดำเนินคดี ส่วนขั้นตอนการลาสิกขานั้น ทางตำรวจไม่ได้มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำ และจะประสานมหาเถรสมาคม เข้ามาพิจารณาในเรื่องนี้.