วันอาทิตย์ ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2568 23:10 น.

การศึกษา

"ประเสริฐ" โชว์ "สุราษฎร์ฯ โมเดล" ดึงทุกภาคส่วนร่วมสร้างการศึกษายืดหยุ่น เรียนไปมีรายได้

วันเสาร์ ที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 19.33 น.

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เผยผลักดันเงินอุดหนุนรายหัวศูนย์การเรียนทุกประเภทเข้า ครม. หลังรอคอยกว่า 10 ปี ยก ‘สุราษฎร์ฯ โมเดล’ ค้นพบเด็กนอกระบบได้ 100% พร้อมส่งต่อเข้าสู่ระบบการศึกษา เดินหน้า ‘Thailand Zero Dropout’  ดึงทุกภาคส่วนสร้างการศึกษายืดหยุ่น มีรายได้ ( Learn to Earn)  ผ่านความร่วมมือเครือข่ายระดับจังหวัด 

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ป่าชุมชนบ้านปากลาง ต.ตะกุกใต้ อ.วิภาวดี จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ จ.สุราษฎร์ธานีว่า การขับเคลื่อนมาตรการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายใต้ 4 มาตรการหลัก มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยสามารถค้นหาเด็กและเยาวชนได้ครบ 16,279 คน หรือ 100% ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งต่อเข้าสู่ระบบการศึกษา การเรียนรู้แบบยืดหยุ่น และการพัฒนาตนเองให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล 
.
นายประเสริฐ กล่าวว่า การดำเนินงานครั้งนี้ขับเคลื่อนบนฐานความร่วมมือของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ร่วมกับศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) เขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัด (สกร.) สมัชชาการศึกษาจังหวัด เครือข่ายสถานศึกษา หน่วยจัดการศึกษา และภาคประชาสังคม–เอกชนในพื้นที่ ทุกฝ่ายร่วมกันค้นหาและพัฒนาระบบการศึกษาและการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ตามมาตรการที่ 3 ในการนำการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นไปหาเด็กๆ ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขและข้อจำกัดของชีวิต 
 .
โดยการจัดการศึกษาที่เกิดขึ้นผ่านหน่วยพัฒนาอาชีพหลากหลาย เช่น กลุ่มคนเลี้ยงผึ้ง (อ.วิภาวดี) วิสาหกิจชุมชนท่าสะท้อนฟาร์มเห็ด (อ.พุนพิน) ศูนย์สืบสานมโนราห์ปักษ์ใต้บ้านปากลัด (อ.เวียงสระ) กลุ่มยุวชนสร้างสรรค์สุราษฎร์ธานี (อ.เมือง) สมาคมสวนทุเรียนใต้ เครือข่ายโรงเรียนมือถือ (Mobile School) วัด และภาคเอกชนที่พร้อมจัดการเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงง่ายและมีคุณภาพ เปลี่ยนทุกที่เป็นโรงเรียนได้โดยทำงานร่วมกับ ศูนย์การเรียนมาตรา 12 , สกร. และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.)
 
นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยการเชื่อมโยงกับศูนย์ดิจิทัลชุมชน ภายใต้การดูแลของกระทรวงดีอี ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นกำลังสำคัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเงินอุดหนุนเด็กและเยาวชนที่เรียนในสถานศึกษา ศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 วันนี้ผมได้ผลักดันจนอยู่ระหว่างเตรียมเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เรื่องนี้สำเร็จหลังจากที่รอดำเนินการมา 10 กว่าปี ซึ่งปัจจุบัน มีเพียงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียนสถานประกอบการที่จัดสายอาชีวศึกษาเท่านั้นที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวแก่ผู้เรียน ขณะที่ศูนย์การเรียนประเภทอื่น ยังไม่มีระเบียบใด ๆ ออกมาสนับสนุนการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัว และสิทธิประโยชน์แก่ผู้เรียน เช่น การได้รับอาหารเสริมนม อาหารกลางวัน อุปกรณ์การเรียนการสอน เสื้อผ้า/ยูนิฟอร์ม การได้รับวัคซีน การตรวจสุขภาพจากสถานพยาบาล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากรกระทรวงดีอีกล่าว
 
“รัฐบาลเห็นความสำคัญของ พลังระดับพื้นที่และพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ เช่น ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และระบบสนับสนุนอื่น ๆ รวมถึงการสร้างกลไกเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้ หน่วยกิตทางการศึกษา และการพัฒนาอาชีพ ให้สามารถเดินหน้าควบคู่กันได้” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากรกระทรวงดีอีกล่าว พร้อมย้ำว่า แนวทางนี้จะถูกขับเคลื่อนให้สอดคล้องกับศักยภาพและต้นทุนการพัฒนาของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตลอดจนพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้การพัฒนากำลังคน การพัฒนาพื้นที่ และการพัฒนาประเทศ เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพผ่านนโยบาย Thailand Zero Dropout
 
 

หน้าแรก » การศึกษา