วันศุกร์ ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568 02:30 น.

การศึกษา

“ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม” บทเรียนจากดาราดัง

วันอังคาร ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 11.59 น.

“ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม” บทเรียนจากดาราดัง

              

“ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม”  บทเรียนจากกรณีดาราสาวชื่อดัง  ที่ปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ คืนวันที่ 24 สิงหาคม 2568  ซึ่งสน.วังทองหลางตั้งด่านบนถนนประดิษฐ์มนูธรรม จากนั้นตำรวจได้แจ้งข้อหา “ขับรถขณะเมาสุรา” ตามมาตรา 43(2) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 เนื่องจากปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ โดยผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว และจะถูกส่งฟ้องศาลแขวงรัชดาตามกระบวนการ  เหตุการณ์นี้จุดประกายกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่พฤติกรรมของบุคคลสาธารณะและการบังคับใช้กฎหมาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็สะท้อนถึงความเข้มแข็งของระบบตรวจสอบที่โปร่งใส และความตั้งใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความปลอดภัยสาธารณะอย่างไม่เลือกปฏิบัติ

 

ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)และศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ได้ออกมายืนยันร่วมกันว่า ประเทศไทยควรเดินหน้าสามมาตรการสำคัญ 3 ด้านไปพร้อมกัน ได้แก่  1) ต้นน้ำ  : สร้างกติกาที่เข้าใจง่าย “ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม”  2) กลางน้ำ : ระบบสุ่มตรวจแอลกอฮอล์ได้ทุกที่–ทุกเวลา (Random Breath Testing: RBT) เพื่อยับยั้งการดื่มแล้วขับอย่างได้ผลจริง 3) ปลายน้ำ : มุ่งเน้นการตรวจสอบประวัติกระทำผิดซ้ำเมาแล้วขับทุกคดี  หากปฏิเสธเป่าวัดแอลกอฮอล์ต้องทำสำนวนเสนอต่อศาลให้ลงโทษหนั

 

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์  ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ( ศวปถ.) กล่าวว่า ทุกคดีเมาแล้วขับต้องมีการตรวจประวัติกระทำผิดซ้ำ และหากปฏิเสธเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ต้องเพิ่มโทษหนัก พร้อมเสนอให้มีแผนปฏิบัติการแห่งชาติ ‘ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม’  โดยเน้นการสุ่มตรวจทั่วเมือง วางแผนความถี่–ช่วงเวลา–พื้นที่เสี่ยง และประเมินผลรายไตรมาส พร้อมเสนอให้รัฐสนับสนุนเครื่องมือ เช่น เครื่องตรวจพกพา กล้องติดตัว และการสื่อสารอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการดื่มก่อนขับอย่างเป็นรูปธรรม

 

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)  กล่าวว่า “กติกาที่ชัดเจนและการสุ่มตรวจที่คาดเดาไม่ได้ คือวิธีที่ยุติธรรมและปกป้องชีวิตได้จริง” พร้อมเสนอเป้าหมายเริ่มต้น “ตรวจเฉลี่ยอย่างน้อย 1 ครั้งต่อผู้ถือใบขับขี่ 1 คนต่อปี” เพื่อสร้างแรงยับยั้งทั้งระบบ

 

ด้าน นายพรหมมินทร์  กัณธิยะ  ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ. ) กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาดื่มแล้วขับมาอย่างต่อเนื่อง เป็นอันดับต้นต้นๆของอุบัติเหตุทางถนน หลายครอบครัวต้องสูญเสียผู้นำ หัวหน้าครอบครัว ญาติหรือคนที่รัก เด็กกำพร้าและคนพิการคือร่องรอยที่คนดื่มแล้วขับทิ้งไว้เกือบทุกคืน การที่ตำรวจออกมาเข้มงวดกวดขัน หวังว่าจะช่วยลดความสูญเสียในสังคมไทย มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพดียิ่ง หากคนมีชื่อเสียง ร่ำรวย ยังมีวิธีคิดแบบเดิมๆ  ไม่ยอมให้ความร่วมมือหรือดื้อด้านมองผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ในทางที่ผิดเท่ากับกำลังซ้ำเติม ขยายวงความสูญเสียให้มากยิ่งขึ้น ไม่ควรปล่อยให้อยู่เหนือกฎหมาย สมควรต้องลงโทษสูงสุดมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อไป

 

 กรณีของดาราสาวจึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เฉพาะบุคคล แต่เป็นบทเรียนสำคัญที่เปิดโอกาสให้สังคมไทยได้ทบทวนกติกาแห่งความปลอดภัย และร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่รับผิดชอบ เพื่อให้ทุกชีวิตบนท้องถนนได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียม

 

ส่งข่าวได้ที่  email : saowaporn12345@gmail.com   และ  bat_mamsao@yahoo.com

หน้าแรก » การศึกษา