วันศุกร์ ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2568 11:36 น.

การศึกษา

พระพรหมบัณฑิตชี้ถึงเวลายกระดับวัดสู่ “อารามธรรมาภิบาล” ฟื้นศรัทธาพุทธศาสนา

วันพฤหัสบดี ที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2568, 14.27 น.

ก่อนการประชุมกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพรหมบัณฑิตเสนอกรอบนโยบาย "WAT Good Governance"  หรืออารามธรรมาภิบาล ย้ำต้องสร้างการมีส่วนร่วม ไม่ใช่การควบคุมปราบปรามเพียงด้านเดียว  พระนักวิชาการชี้ สังคมพุทธไทยกำลังเผชิญ 6 ทางเลือก ทั้งปลีกวิเวก สึก ลาออก หรือหันสู่นิกายอื่น สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปการบริหารศาสนจักรให้สอดคล้องโลกยุคใหม่

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568  พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปรารภถึงข้อห่วงใยต่อสถานการณ์พระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน ก่อนการประชุมคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ครั้ง 7/2568 ณ วัดประยุรวงศาวาส โดยฝากข้อห่วงใยไปเป็นกรอบการจัดวางนโยบายการเผยแผ่ใน 2 ประเด็น

1: ขอให้คณะกรรมการฯ ช่วยกันขยายผล และสืบสานงานของพ่อ สานต่อเศรษฐกิจพอเพียง ในโลกยุคปัจจุบัน หัวข้อหลักในการเผยแผ่ควรเน้นประเด็นเศรษฐกิจ สอดรับยุทธศาสตร์ศาสตร์ เพื่อย้ำเตือนวัดมุ่งความพอเพียง สร้างความสันโดษในสิ่งเสพ แต่ไม่สันโดษในกุศลธรรรม นำพากันปฏิบัติธรรมกระตุ้นสติ สมาธิ ปัญญา


 2: การทบทวนเรื่องแนวนโยบาย WAT Good Governance หรืออารามธรรมาภิบาล ฟื้นฟูความเชื่อมั่น เน้นอารามธรรมาภิบาล อย่าปล่อยให้เจ้าอาวาสโดดเดี๋ยว การกวาดลานวัด อย่าทำมิติมุ่งปราบปรามอย่างเดียว โดยเฉพาะการเข้ามาควบคุมตรวจสอบ ควรมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมให้พุทธบริษัทเข้ามาส่งเสริมสนับสนุนด้วยความเป็นกัลยาณมิตร เพื่อให้วัดเป็นอารามอย่างแท้จริง

"พระนักวิชาการ" ชื่อดัง!  แนะ 6 ทางเลือก สำหรับ "พระสังฆาธิการ"  ยุค "วิกฤติศรัทธา" 

พระเมธีวัชรบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณหรรษา”  ผู้อำนวยการหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิต สาขาสตินวัตกรรมและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้แสดงความคิดเห็น กรณี “อดีตเจ้าอาวาสวัดแม่โจ้” จังหวัดเชียงใหม่ ได้ฆ่าตัวตาย สืบเนื่องมาจากความเครียดสะสมอันเกิดมาจาก มติมหาเถรสมาคมให้วัดทุกวัดทำบัญชีวัดรายรับ -รายจ่าย โดยที่พระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส 40,000 กว่าวัดไม่มีความพร้อม จึงเกิดแรงกดดัน ก่อเหตุกระทำ อัตตวินิบาต ตนเองดังที่เสนอข่าวไปแล้วนั่น   โดยรายละเอียดมี ดังนี้


วิกฤตศรัทธาและมรณภาพของพระสังฆาธิการ  บริหารจัดการไม่ดีคนจะหนีพุทธไทยกันหมด?!?!?  เรื่องที่จะพูดหรือเขียนต่อไปนี้ ความจริงแล้วคิดมานานมากว่าจะเขียนดีไหม!! ความคิดที่ว่ามิใช่ความคิดของตัวเอง หากแต่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดในสังคมพุทธไทยมาพักใหญ่แล้ว ทุกๆ วันก็จะมีทั้งพระและโยมสนทนาธรรม มาตลอด แต่ช่วง 2-3 เดือนนี้ ก็ยิ่งเห็นความคิดที่ชัดเจนของพุทธบริษัท จนมาถึงวันที่พระสังฆาธิการรูปหนึ่งตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะปัญหาการทำบัญชีวัด
 6 ประเด็นต่อไปนี้ คือสิ่งที่พุทธศาสนิก และพุทธบริษัทในประเทศไทยกำลังเผชิญ และตัดสินใจเลือกว่า ต่อไปนี้ วิถีทางนับถือพระพุทธศาสนาควรจะเป็นไปในลักษณะใด ขอนิมนต์เชิญทุกท่านมาพิจารณาร่วมกัน

1: ปลีกตัวเองไปหาพุทธแบบดั้งเดิม
พุทธบริษัทกลุ่มหนึ่งกำลังปลีกตัวออกไปปฏิบัติธรรมตามนิคม ตามป่าเขา ตามเรือนว่าง อันเป็นไปตามแนวพุทธเถรวาท หรือพุทธบริสุทธ์ พุทธแบบดั้งเดิม ทั้งที่สอดรับกับรัฐธรรม ปี 60 มาตรา 67 และสอดรับกับพุทธประสงค์ดั้งเดิม

2:หนีพุทธไทยไปพัฒนาสถานธรรมส่วนตัว
พุทธบริษัทผนึกกำลังกันพัฒนาสถานธรรม โดยไม่ประสงค์ให้มีสถานะเป็นวัดตาม พรบ คณะสงฆ์ 2505 ที่สะท้อนพุทธราชการ หรือพุทธแบบไทยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการภาระต่างๆ ที่จะต้องปฏิบัติตามกฏหมายและมติมหาเถรสมาคม

3: ลาออกจากพระสังฆาธิการเจ้าพนักงานของรัฐ
พระมหาเถระเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ขอลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาส รวมถึงเจ้าคณะผู้ปกครองตาม พรบสงฆ์ 2505 เพราะไม่ประสงค์จะแบกรับภาระดังกล่าว ทั้งการทำบัญชี การตั้งคณะกรรมการต่างๆ เป็นต้น โดยเฉพาะพระภิกษุในต่างจังหวัด

4: ฆ่าตัวตายสบายกว่า
พระสังฆาธิการบางรูปที่สมณธรรมยังอ่อน เลือกตัดสินใจที่จะปลิดชีวิตฆ่าตัวตาย เพื่อหลีกสายตาที่ดูแคลน คำพูดที่เสียดแทงใจ รวมการที่จะต้องเข้าไปแบกรับภาระต่างๆ ที่เกิดขึ้น

5: สึกออกไปใช้ชีวิตแบบฆราวาส
พระสังฆาธิการที่ศรัทธายังอ่อน จึงเลือกตัดสินใจที่จะสละสมณเพศ เพื่อเลือกเส้นทางอื่นที่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตของตัวเอง และมองว่า ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องเข้ามารับภาระธุระในการดูแลวัดอาอาราม

6: ไปนับถือพุทธนิกายอื่นที่ตอบโจทย์
พุทธบริษัทไท่น้อยในยุคปัจจุบัน เลือกที่จะหันไปนับถือพระพุทธศาสนานิกายอื่นๆ ทั้งมหายานแบบวิถีหมู่บ้านพรัม หรือ Plum village วัชรยานแบบธิเบต ตามลมหายใจท่านดาไลลามะ เหตุผลหนึ่งก็เพราะเหมาะกับจริต แต่ผลที่บางท่านตอบน่าสนใจมากก็คือ หลีกหนีความเป็นแบบพุทธไทยตามกรอบของ พรบ คณะสงฆ์ 2505

ทั้งหมดคือเส้นทาง หรือทางเลือกที่พุทธบริษัทหลายท่านที่พูดคุยสนทนาตลอดเวลาที่ผ่านมา ส่วนตัวเข้าใจว่า นับวันพุทธแบบไทยก็จะถูกตีกรอบให้แคบลง ทั้งจำนวนผู้นับถือ และผู้สนใจเข้ามาศึกษาและเรียนเพือนำไปยกระดับจิตใจ
สอดรับกับบางท่านที่พยายามตอกย้ำว่า สถาบันพระพุทธศาสนา หรือสถาบันสงฆ์ หรือถ้าจะกล่าวให้แคบลงหรือสถาบันภิกษุสงฆ์ไทย จะค่อยๆ เลือนหายไปจากความต้องการของคนรุ่นใหม่มากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะคนกลุ่มนี้จะมีทางเลือกการศึกษาแบะปฏิบัติตามแนวทางอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ หรือสอดรับกับความคาดหวังมากกว่า

สุดท้ายสถาบันสงฆ์ไทยก็จะคงเหลือไว้ในเชิงรูปแบบ และพิธีกรรม ที่จะนำไปตอบโจทย์ในลักษณะศาสนาราชการ อันเป็นลักษณะประเพณีนิยมที่สังคมไทยเคยใช้ประโยชน์ตามเทศกาลและพิธีกรรมต่างๆ

ข้อมูลที่กล่าวมา คือการสนทนาพูดคุยแลกเปลี่ยนในวงเวทีสัมมนามาหลายปี และในฐานะคนที่ทำงานด้านศาสนาและเทววิทยาตามเส้นทางตำแหน่งทางวิชาการร่วมกับผู้ที่นับถือศาสนา (Buddhists) กับผู้ที่มิได้นับถือ (Non-Buddhists) แล้วถือโอกาสนำมาแลกเปลี่ยนรู้

ทั้ง 6 เหตุผลในการเลือกนับถือและปฏิบัติตามครรลองของการเป็นพุทธศาสนิกชนข้างต้นนั้น ขอให้วิญญูชนพิเคราะห์อย่างมีคนที่มีพุทธปัญญา พิจารณาอย่างไร้อคติ มิใช่การพูดด้วยอารมณ์ว่า อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็อย่าอยู่ หรืออยู่ไม่ได้จะไปนับถือพุทธแบบไหนก็ไป จะฆ่าตัวตาย จะสึกหาลาเพศก็ช่างหัวคุณ!!

การแสดงออกดังกล่าว นับว่าไม่สอดคล้องกับการมองและปฏิบัติต่อคนตามบัวสามเหล่า: พ้นน้ำ ปริ่มน้ำ และใต้น้ำ รวมถึงขาดการนำเสนอธรรมะตามแนวอนุปุพพีกถา หรือการนำเสนอธรรมะแบบใบ้ไม้ในกำมือ คือ กำของใครก็กำของคนนั้น ตามวุฒิภาวะหรือภูมิธรรมที่พึ่งมี

ถึงเวลาที่พุทธบริษัททั้งหลาย จักได้ช่วยกันศึกษา และพิจารณาด้วยพุทธปัญญาอย่างถ่องแท้ตามหลักอริยสัจ เพือจะได้เข้าใจว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุของทุกข์ อะไรคือความอยู่รอดและเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาอันเป็นภาวะดับไปของทุกข์ และอะไรคือยุทธศาสตร์ หรือหนทางที่เราจะช่วยกันออกแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับโลกที่เปลี่ยนไป โดยไม่ขัดหรือแย้งกับพระธรรมวินัยที่เป็นศาสดาของพวกเราชาวพุทธ
 

หน้าแรก » การศึกษา