เปิดหมดเปลือก ต่าย อรทัย ศิลปินลูกทุ่งชื่อดังในรายการ เบิ้ล AM เล่าเส้นทางชีวิตและการทำงานในวงการเพลง จากสาวโรงงานสู่ตำนานดอกหญ้าในป่าปูนที่สร้างปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลาย เคยทัวร์หนักจนต้องแอดมิด รพ. รวมถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งกับคุณยายที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในชีวิต ก่อนจะก้าวสู่ศิลปินที่คนทั้งประเทศรัก
พื้นเพเป็นคนจังหวัดไหน ?
ต่าย อรทัย : พี่ต่ายเป็นคน บ้านคุ้มแสนชะนี ตำบลพรสวรรค์ อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี บ้านติดชายแดนเลย
รักในการร้องเพลงตั้งแต่เด็กเลยไหม ?
ต่าย อรทัย : ตอนอยู่ประถมเลย ช่วงประมาณ ป.5 ป.6 เวลากิจกรรมนักเรียนช่วงว่าง ครูก็จะรู้ว่าพี่ต่ายเพลงได้ ท่านก็จะบอกออกมาร้องให้เพื่อนฟังหน่อย ในหมู่บ้านก็จะชื่นชมว่าเราเสียงดี ครูก็จะได้ยินแล้วก็ให้ออกมาทำกิจกรรมประมาณนี้แหล่ะ ซึ่งเราก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความมั่นใจนะ แต่ว่าในเรื่องของการร้องเพลงมั่นใจสุด มากกว่าเรื่องอื่นๆ
.jpg)
แล้วได้ไปทางประกวดด้วยไหม ?
ต่าย อรทัย : ตอนเด็กๆ ไม่เลย แต่ว่าพยายาม ใช้คำว่าพยายามยามแล้วกัน เพราะว่าทางบ้านมันก็จะไม่ค่อยมีเวทีให้เราไปแสดงความสามารถ หรือว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ แล้วบ้านก็อยู่ชายแดนด้วย เวทีประกวดมันจะอยู่ในเมืองส่วนหลาย ถ้าไม่ใช่เสาร์อาทิตย์เราก็จะไม่มีโอกาสเพราะเราก็ต้องไปโรงเรียน มาเริ่มจริงๆ ตอนมัธยมแล้ว แต่ตอนประถมมีแค่ร้องกิจกรรมในโรงเรียนเท่านั้น ม.ต้นจำได้ว่ามันมีบุญผ้าป่าอยู่บ้านโนนแดง แล้วก็มีคณะหมอลำ เราก็ไปร่วมบุญผ้าป่าปกติ แล้วเราก็อยากไปร้องเพลง เขาก็กำลังเฟ้นหานักร้อง อยากได้นักร้องไปเดินสายด้วยในวง เราก็ไปลองแต่ว่าก็ไม่ได้ชนะหรอก แล้วก็มาเริ่มประกวดจริงจังคือเป็นตัวแทนของโรงเรียนนาจะหลวย แล้วก็ไปเป็นปีแรกประมาณ ม.4 ไปปีแรกแพ้ ปีที่ 2 ก็ไปอีกเป็นตัวแทนอีกก็ยังแพ้อีก แล้วปีที่ 3 เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ชนะ สุดของความดีใจมากๆ ซึ่งปีแรกปีที่สองที่เราไปประกวดได้เจอ ดอกอ้อ ทุ่งทอง ด้วย
มีไอดอลทางเสียงที่ทำให้เราอยากร้องเพลงไหม ?
ต่าย อรทัย : สมัยก่อน เราจะได้ฟังเพลงส่วนหลายก็เป็นวิทยุ ที่ฟังแล้วรู้สึกแบบชื่นชอบมากๆ ก็จะเป็นเสียงของ แม่ฮันนี่ ศรีอีสาน น้ำตาหล่นบนที่นอน นั่นแหละ ทำไมเสียงดีจัง ด้วยความที่เพลงมันดังด้วยตอนนั้นรู้สึกว่าอยากเป็นนักร้องคือแม่ฮันนี่ แล้วก็มีพี่จินตรา มีพี่นาง ศิริพร ที่เพลงดังๆ ก็จะได้ยินตั้งแต่เด็กมาตลอด
.jpg)
เป็นนักร้องปีไหน ?
ต่าย อรทัย : ปลายปี 44 พี่ต่ายเริ่มเข้าแกรมมี่แล้ว เพลงดอกหญ้าในป่าปูน มันปล่อยช่วงปี 2546 ตอนเป็นศิลปินฝึกหัด ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะว่าครูเอง ค่ายเอง ผู้ใหญ่ หรือทีมงาน ไม่มีใครบอกเราได้สักคนเลย แต่เพียงแค่เรามีความรู้สึกว่าเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง อยู่ดีๆ แล้วได้เข้ามา ต่อให้ไม่ดังก็ตาม แต่ได้รับโอกาสแบบนี้ สมัยนั้นโทรศัทพ์ก็ยังไม่มี และก็ยังไม่ได้มีรายได้ ต้องหยิบยืมผู้จัดการ หรือว่าค่ายแบบซัพพอร์ตเราก่อนแล้วก็มาคืนที่หลัง สู้ไปก่อน เขาให้ไปเรียน พี่ต่ายก็ไป กลับมาห้องนอนร้องไห้ทุกวัน คิดถึงยาย (น้ำตาซึม) ทั้งเป็นศิลปินฝึกหัดไปด้วย แล้วก็ต้องทำอัลบั้มเพลงให้เสร็จใน 1 ปีนั้น
มีอัลบั้มไหนที่คิดว่าทำงานหนักจนคิดว่าจะไปต่อได้ไหมหลังจากนี้ไป ?
ต่าย อรทัย : อัลบั้มชุดที่ 5 ด้วยความที่เราทัวร์แบบนั้นมาตลอด แล้วการจัดตารางชีวิตไม่ได้ดี ทำให้มีผลต่อเสียง มีผลต่อการพักผ่อน มีผลต่องานต่างๆ แล้วเราจะน็อก ชุดที่ 5 ชุดที่ 6 คือพลังก็ไม่มี จำคำหนึ่งที่พี่นางศิริพรพูดได้เลย ….บอกอีหล่าเอื้อยคือฟังเสียงโตแล้วเอื้อยคือบ่ม่วนน้อ คือเป็นบ่มีอารมณ์เพลง รู้สึกบ่ม่วน บ่มีความสุขเลย เลยกลายเป็นว่าก็ต้องเข้าโรงพยาบาลถึงขนาดแอดมิดเลย จำได้ว่างานคอนเสิร์ตเป็นงานสินค้าตัวหนึ่ง แล้วมันก็ต้องทัวร์แบบถี่ยิบๆ เลย รวมถึงงานจ้างอื่นๆ ก็ไปสลับกัน แล้ววันนั้นคือลงเวทีปุ๊บก็ต้องไปโรงพยาบาล จากวันนั้นมาไม่เอาอีกเลย ก็คือเปลี่ยนตารางชีวิตใหม่ นอนพักผ่อน รับงานให้พอดี ออกกำลังกาย จนถึงปัจจุบัน
.jpg)
ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้เป็น ต่าย อรทัย แล้วมีแผนสำรองไหมว่าถ้าไม่ได้เป็นนักร้องจะเป็นอะไร ?
ต่าย อรทัย : ไม่รู้เลย เพราะว่าก็ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด หมายถึงการจัดระเบียบในความคิดหรือแผนชีวิตอะไรต่างๆ มันก็ยากอยู่นะ พ่อแม่เราลูกชาวไร่ชาวนา เขาก็ไม่ได้มีชุดความคิดแผน 1 แผน 2 แผน 3 ให้เรา รู้แค่ว่าเรียนต่ออยู่เมืองอุบลไม่ได้ มันก็ต้องมาสู้งานในกรุงเทพฯ แค่นั้น แล้วงานอะไรล่ะ เราจบเพียงแค่ ม.6 ตอนนั้น ก็คือมาทำงานโรงงาน เป็นสาวโรงงานมาก่อน พี่ต่ายถึงได้แบบรู้สึกเข้าใจเวลามีกิจกรรมไปโรงงาน จะคิดถึงตลอดเพราะว่าหลายเดือนที่อยู่ตรงนั้น คือเราเข้าใจความยากลำบาก อยู่ห้องเช่า แล้วเรามีความรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งไม่ได้เป็นนักร้อง ก็อาจจะยังทำงานอยู่ในโรงงานเหมือนเดิม ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักร้องก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัวยังเป็นสาวโรงงานอยู่ก็ได้แค่นั้นเอง
แล้วตอนนี้มีสเปคผู้ชายแบบไหน มีแฟนหรือยัง ?
ต่าย อรทัย : ไม่มีเลย เอาจริงๆ แต่เคยมีก็หลายปีแล้วที่พี่ต่ายเลิก อันนั้นก็มีลงโซเชียลแต่แค่เราไม่ได้ลงว่ากับใคร เราก็ไม่ใช่คนที่จะไปเปิดเผยเรื่องส่วนตัว
มียายเป็นกำลังใจและมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ?
ต่าย อรทัย : เยอะเลย เพราะว่าพ่อกับแม่เขาแยกกันตอนพี่ต่ายอายุ 11 - 12 ปี คือก็เด็กมาก แล้วเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่น มีคำถามในหัวมากมาย ทำไมเราถึงไม่เหมือนคนอื่น ทำไมพ่อกับแม่ต้องเลิกกัน แต่ว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้คำตอบหรอก ตั้งแต่พี่ต่ายจำความได้ก็เห็นคุณยายเลย พอพ่อกับแม่เลิกกันปุ๊บไปกลายเป็นคุณยายมาตลอดจนถึงวันสุดท้ายที่ยายจากไป มันก็คือมียายทั้งชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเราลืมพ่อแม่นะ เรามีชีวิตที่อบอุ่นอยู่ช่วงหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ทิ้งลูกหรอก เพียงแค่ว่าเราแค่ขาดความอบอุ่นที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยแค่นั้นเอง เขาก็ใช้การดูแลโดยวิธีอื่น แต่จริงๆ ก็ไม่เคยขาดจากความรักของยาย ของป้า ของลุง ของญาติๆ ที่อยู่รอบข้าง พี่ต่ายคิดว่ายายเอย ครอบครัวเอย ที่อยู่ข้างๆ น่ะ คือทุกคนคอยหล่อหลอม ไม่ให้เราหลุดก็เลย ยายนี้คือพอจะพูดถึงพี่ต่าย (เสียงสั่นน้ำตาซึม) เป็นแบบนี้ตลอด
.jpg)
อะไรที่ทำให้ ต่าย อรทัย อยู่คู่วงการบันเทิงมาถึงยุคปัจจุบันนี้ ?
ต่าย อรทัย : รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เราคนเดียว มันมีหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบถึงทำให้มีชื่อต่าย มีเส้นทางที่มันยาวมาได้ขนาดนี้ อันดับแรกมันคือโอกาส มันคือเรื่องเล่าในชีวิต แม้แต่ตัวเราเอง แล้วก็เรื่องราวของผลงานเพลงที่มันตอบโจทย์ ครูบาอาจารย์ ทีมงานทุกคน คนที่สนับสนุนเรา อยากให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นทุกๆ ส่วนเลย รู้สึกว่าถ้าไม่มีคนเหล่านั้น ยากเลยที่จะมีเราในวันนี้ ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำของทุกคนที่ติและชมมาตลอด ที่ยังอยากให้เราอยู่ตรงนี้นานๆ
สามารถติดตาม “เบิ้ล AM” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันพฤหัสบดี เวลา 19.00 น.
คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=dj0cH2O-dm8