วันอังคาร ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2568 10:56 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”

วันจันทร์ ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 08.58 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.75 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.71-32.90 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย หลังตลาดรับรู้ผลกระทบจากการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยสหรัฐฯ ผ่าน “Operation Midnight Hammer” ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ทางการอิหร่านอาจตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ กระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเกิน +2% ส่วนเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้นบ้าง ตามความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งยังพอได้รับอานิสงส์บ้างจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้นและยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงมาก

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะออกมาแย่กว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรง และการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)

 

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น ผลการประชุม กนง. และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด

 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing & Services PMIs) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนมิถุนายน ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลเงินเฟ้อที่เฟดจับตาใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรส ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาล Trump 2.0 ที่ต้องการให้ประธานเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบาย และนอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีแนวโน้มทวีความรุนแรง และลุกลาม บานปลาย มากขึ้น หลังสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน (Operation Midnight Hammer ที่มีการใช้อากาศยานกว่า 125 ลำ ในการโจมตีครั้งนี้) โดยต้องจับตาการตอบโต้ของฝั่งอิหร่าน ที่ล่าสุด มีความเสี่ยงที่อิหร่านอาจเลือกปิดช่องแคบฮอร์มุซ เป็นการตอบโต้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ที่อาจพุ่งสูงขึ้นราว 10-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากระดับราคาปัจจุบัน ได้

 

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซนและอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน พร้อมกับรอจับตา รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (IFO Business Climate) ของเยอรมนี ในเดือนมิถุนายน เช่นกัน พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินทิศทางการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ECB และ BOE :ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 89% ที่ ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ ส่วน BOE มีโอกาส 96% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 2 ครั้ง ราว 50bps ในปีนี้

 

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น ทั้ง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนมิถุนายน รวมถึง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนมิถุนายน ซึ่งข้อมูลดังกล่าว จะช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 52% ที่ BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ 

 

ฝั่งไทย – เราประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้ง นโยบายการค้าของสหรัฐฯ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความวุ่นวายของการเมืองไทย ให้แน่ชัดก่อน ทว่า กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ควบคู่ไปกับเครื่องมือหรือนโยบายที่มีความจำเพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ หนี้ครัวเรือน และภาวะการเงินของไทยที่ยังคงตึงตัวอยู่ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงมุมมองเดิมว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 1.25% ได้ ภายใน 12 เดือน ข้างหน้า

 

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น กดดันให้เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up ท่ามกลางปัจจัยกดดันเงินบาท ทั้ง ปัญหาการเมืองภายในของไทย ที่อาจทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติต่างยังไม่รีบกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะในช่วงที่สินทรัพย์ฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM) เสี่ยงเผชิญแรงขายจากภาวะปิดรับความเสี่ยงในระยะสั้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น ซึ่งต้องจับตาการตอบโต้ของทางการอิหร่าน หลังสหรัฐฯ ได้โจมตีทางอากาศใส่โครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซได้จริง (มิใช่เพียงการขู่ เหมือนในอดีต) ก็อาจส่งผลกระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลก หนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ แม้ว่าเงินบาทจะพอได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำก็ตาม แต่เรามองว่า อิหร่านอาจเลือกที่จะไม่ตอบโต้ทางการทหารที่รุนแรง ซึ่งจะเสี่ยงต่อการให้สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งครั้งนี้แบบเต็มรูปแบบ และไม่คุ้มค่าในเชิง Risk-Reward ทำให้เราประเมินว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจไม่ได้ลุกลาม บานปลายเป็นวงกว้าง ในเชิงการเผชิญหน้าทางการทหาร แต่ยังมีผลกระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลกพอสมควร ทำให้ราคาทองคำอาจได้รับอานิสงส์ น้อยกว่า ราคาน้ำมันดิบ (โดยเฉพาะในกรณีที่อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ) อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน

 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทวีความรุนแรง ลุมลาม บานปลาย แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก

 

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.50-33.20 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-33.00 บาท/ดอลลาร์