วันพุธ ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568 12:14 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”

วันอังคาร ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 10.00 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.02 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.70-33.03 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด Michelle Bowman (Board of Governors) ที่มักจะให้ความเห็นในเชิง Hawkish ได้ให้ความเห็น อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกรกฎาคม (ซึ่งเรียกได้ว่า ความเห็นดังกล่าว มีความ Dovish พอสมควร เมื่อเทียบกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดจาก Dot Plot ล่าสุด) ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในปีนี้ เกิน 2 ครั้ง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ดูทยอยคลี่คลายลง หลังการโจมตีตอบโต้สหรัฐฯ จากอิหร่านไม่ได้รุนแรงอย่างที่ตลาดกังวล อีกทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยังได้ระบุว่า อิหร่านกับอิสราเอลได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวเข้าสู่โซนแนวรับของราคาทองคำ หลังไร้แรงหนุนจากปัจจัยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk)

 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากทั้งความหวังว่าเฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุด อย่าง Michelle Bowman รวมถึง แนวโน้มสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.96%

 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.28% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะท่าทีของอิหร่านในการตอบโต้การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ล่าสุด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันบ้าง จากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการเดือนมิถุนายน ที่ออกมาแย่กว่าคาด

 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างเร็วสุดในการประชุมเดือน FOMC กรกฎาคม และการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงทดสอบโซน 4.30% ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้างสู่ระดับ 4.35% ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ อนึ่ง เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง แม้รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ก็ถูกกดดันจาก ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกรกฎาคม และบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-99.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ก็ถูกกดดันจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เริ่มทยอยคลี่คลายลง ลดความน่าสนใจในการถือครองทองคำ กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 3,360-3,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรสโดยประธานเฟด Jerome Powell  

 

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางทั้งสอง พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (IFO Business Climate) เดือนมิถุนายน ของเยอรมนี และยูโรโซน ที่จะช่วยสะท้อนถึงมุมมองของภาคเอกชน หลังเผชิญความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง   

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้น เหนือความคาดหมายของเราไปพอสมควร เนื่องจากเหตุผลหลักมาจากทั้งถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Michelle Bowman ซึ่งมักจะให้ความเห็นในเชิง Hawkish (ไม่รีบลดดอกเบี้ย) และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ดูจะคลี่คลายลงได้เร็ว อย่างไรก็ดี แม้ว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นมีกำลังมากขึ้น ทว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หลังราคาทองคำได้ย่อตัวลงเข้าใกล้โซนแนวรับ ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอย Buy on Dip ทองคำได้ โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นในตลาดที่ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำ

 

อนึ่ง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม กอปรกับ สถานการณ์การเมืองไทยที่ดูจะวุ่นวายน้อยลง หลังบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลยังคงส่งสัญญาณพร้อมอยู่กับพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลต่อ ก็อาจหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยได้บ้าง โดยเฉพาะในส่วนของตลาดหุ้น ที่ปรับตัวลดลงมาใกล้ระดับที่ตลาดการเงินเผชิญความเสี่ยงภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเมษายน ซึ่งแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้

 

ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงคืนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ของไทย ในวันพุธ 25 มิถุนายน นี้ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน

 

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์