วันพฤหัสบดี ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 09.53 น.
ธ.ก.ส.ยกระดับเกษตรไทย...ดึงหัวขบวนเกษตรกรศึกษางานเมืองจีน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เพื่อการเกษตร หรือ ธ.ก.ส.ได้นำเกษตรกรหัวขบวนและสื่อมวลชนไปดูงานภาคเกษตร ระหว่างวันที่ 18 มิถุนายน-23 มิถุนายน 2568 ณ มณฑลซินเจียง สาธารณะประชาชนจีน โดยหลักคือต้องการให้เกษตรกรหัวขบวนสามารถนำเกษตรกรรายย่อยในชุมชนตนเองมาร่วมเป็นวิสาหกิจชุมชนและพัฒนาการเกษตร เพราะทราบว่าเกษตรกรของจีนประสบความสำเร็จการพัฒนาเกษตรสมัยใหม่

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า การได้นำเกษตรกรไทยที่มีศักยภาพหรือเกษตรกรหัวขบวนศึกษาดูงาน ณ เขตปกครองซินเจียงอุยกูรย์ สาธารณะรัฐประชาชนจีน เพื่อจุดประกายความคิดนำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชน
และหนึ่งในไฮไลท์ในการศึกษางานครั้งนี้ก็คือ อุทยานนิทรรศการเกษตรกรรมซินเจียง นำเสนอเทคโนโลยีตามแนวตั้งที่ควบคุมสภาพแวดล้อมด้วยระบบอัจฉริยะ ทั้งแสง อุณหภูมิ ความชื่อและก๊าซในอากาศ พร้อมเทคนิคอื่นๆ เช่น การปลูกไม้ดอกรวมกับผักเพื่อเพิ่มออกซิเจน

อีกจุดหนึ่งก็คือ ฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ในซินเจียง ซึ่งมีการเลี้ยงโคนมกว่า 2 ล้านตัว ได้ใช้เทคโนโลยีจากสวีเดน และขบวนการผลิตน้ำนม พร้อมเปิดเรียนรู้เสริมทักษะใหกับเยาวชนภายในประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมโรงเรือนที่ได้มาตรฐาน ที่รัฐบาลจีนได้ลงทุน 100 หลัง และมีแผนเพิ่มเติมอีก 500 หลัง เพื่อให้ประชาชนเช่าปีละประมาณ 50,000 บาท สามารถเพาะปลูกได้ 3-4 รอบต่อปี สามารถสร้างรายได้เฉลี่ย 500,000-1,000,000 บาท ต่อปี

นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า ในการมาศึกษาดูงานครั้งนี้ ทำให้เกษตรกรได้เห็นและสามารถจับต้องได้ เช่น การห่อฝรั่งแบบปลอดแมลง การดักแมลงโดยไม่ใช้สารเคมี การควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนด้วยโซล่าเซล ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในชุมชน ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งในส่วนของธนาคารก็มีสินเชื่อ ‘สมาร์ทเทคสมาร์ทฟาร์มเมอร์ สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสมันมาประยุกต์ใช้กับเกษตรดั่งเดิม
นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาภาคการเกษตรไทยที่มีเกษตรกรรุ่นสูงอายุอยู่ในระบบจำนวนมาก และเมื่อรวมกับลูกหลานในภาคเกษตรหันไปประกอบอาชีพอื่น ทำให้ปัญหาดังกล่าวกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ของภาคการเกษตรไทย ซึ่งโครงการ "เกษตรการค้า" เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของธ.ก.ส.ในปี 2568-2569 ที่จะเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหานี้ โดยดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ตั้งแต่ระดับมัธยมปลายขึ้นไป ให้หันมามองอาชีพเกษตรกร ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการนี้แล้วกว่าหนึ่งพันโรงเรียน แนวทาง คือ ธ.ก.ส.จะเข้าไปสนับสนุนการทำ "เกษตรเพื่อการค้า" แทนที่การเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ผ่านการให้ความรู้ด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาดเพื่อขายในชุมชน

โดยแปลงเกษตรอาหารกลางวันเป็นเกษตรการค้าให้นักเรียนตั้งแต่ ม.4 ถึง ม.6 ได้ เรียนรู้การที่จะใช้องค์ความรู้และแหล่งเงินจากธ.ก.ส. ทั้งการทำปศุสัตว์หรือปลูกผักในโรงเรียน เพราะการเกษตรต้องใช้เวลา ธ.ก.ส.จึงเริ่มตั้งแต่วัยนี้ ซึ่งจะทำให้มีประสบการณ์และแข็งแรง พ่อแม่ก็จะได้องค์ความรู้ ทำให้มีเกษตรกรสมัยใหม่เข้ามาในภาคเกษตรมากขึ้น
“ขณะนี้ภาคเกษตรของเรามีความท้าทายใหญ่หลวงมาก คือ อายุของเกษตรกรดั้งเดิมที่มากขึ้น รวมถึงลูกหลานเกษตรกรไม่ได้อยู่ในภาคการเกษตร ก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งของธ.ก.ส.ในการนำคนรุ่นใหม่กลับเข้าภาคการเกษตร” นายฉัตรชัย กล่าว
นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า ธ.ก.ส.ได้สนับหนุนคลังความรู้ภาคเกษตรผ่านเว็ปไซต์ของธ.ก.ส. โดยได้รวบรวมความรู้ในภาคการเกษตรสมัยใหม่ที่มีความหลากหลาย เพื่อให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปได้เข้ามานำข้อมูลไปปรับใช้ในภาคเกษตร เช่น การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์กลม การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การทำน้ำหมักต่างๆ การปรุงดินเพื่อให้มีแร่ธาตุเพียงพอ ความรู้เหล่านี้จะยกระดับความรู้เกษตรสมัยใหม่ได้

โดยธ.ก.ส.จะใส่ชุดความรู้ให้เด็ก เกษตรกรยุคใหม่ไม่ใช่ใส่แค่ปุ๋ย และพันธ์พืช ต้องมีโลจิสติกส์ การปรับปรุงคุณภาพ และมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งต้องใช้คนอีก Gen มายกระดับการเกษตรให้เป็นเกษตรการค้า โดยตลาดของธ.ก.ส.เปิดกว้าง แต่ต้องให้คนรุ่นใหม่เข้าหาตลาดเหล่านี้
อย่างไรก็ดี ธ.ก.ส.ไม่ได้ทอดทิ้งคนรุ่นเก่าที่ต้องการจะเข้ามาทำภาคการเกษตร โดยได้สนับสนุนสินเชื่อเกษตรวิวัฒน์สำหรับบุคคลทั่วไปที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปที่ต้องการเข้ามาประกอบอาชีพนี้ด้วย นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ยังได้สนับสนุนเกษตรกรหัวขบวนที่มีกว่า 2.4 หมื่นรายทั่วประเทศให้มีองค์ความรู้เกษตรสมัยใหม่ เพื่อช่วยถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรรายย่อยในกลุ่ม เพื่อยกระดับความรู้ในภาคการเกษตรให้แข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย

“ในครั้งนี้ธ.ก.ส.ได้พาไปให้เห็นว่า การปลูกผักในโรงเรือน ที่มีหัวหน้างานเพียง 1 คน ที่เหลือเป็นแรงงานเพียง 10 คน แต่ดูแลพื้นที่การเพาะปลูกได้ถึง 16,000 ตารางเมตร สามารถประหยัดพลังงานและเพิ่มผลผลิตได้ดีนั้น เขาทำกันอย่างไร เพื่อให้เกษตรกรหัวขบวนนำความรู้การเกษตรสมัยใหม่มาปรับใช้และถ่ายทอดต่อเกษตรกรรายย่อยได้ต่อไป”