วันอังคาร ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 20:29 น.

การเงิน หุ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”

วันอังคาร ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 08.35 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด วันที่ 25 กรกฎาคม)

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า และวันจันทร์ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวทยอยอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในลักษณะ Sideways Up  (แกว่งตัวในกรอบ 32.33-32.51 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังเงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงหนักสู่ระดับ 1.16 ดอลลาร์ต่อยูโร อีกครั้ง แม้ว่าทางสหภาพยุโรป (EU) จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ทว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างกังวลผลกระทบจากข้อตกลงการค้าดังกล่าวกับหลายอุตสาหกรรมของยุโรป สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นยุโรป (ดัชนี STOXX600) ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องเข้าใกล้โซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งยังคงเห็นแรงซื้อ Buy on Dip จะผู้เล่นในตลาดบางส่วน และช่วยพยุงราคาทองคำเหนือโซนดังกล่าวได้

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้โดยรวมเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง และมีแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทว่า เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าตามจังหวะการปรับตัวลงของราคาทองคำ และความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา

 

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ พร้อมรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟด และ BOJ รวมถึง รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ

 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ประเด็นสำคัญจะมีอยู่ 4 ประเด็น คือ 1. ผลการประชุม FOMC ของเฟด 2. รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะ ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) 3. แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังถึงกำหนด Deadline 1 สิงหาคม ที่ทางการสหรัฐฯ ให้เวลากับบรรดาประเทศคู่ค้าในการเจรจาข้อตกลงการค้า เพื่อลดอัตราภาษีนำเข้าที่จะถูกเรียกเก็บ และ 4. รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Meta, Microsoft, Apple และ Amazon โดยในส่วนการประชุม FOMC ของเฟด นั้น เราประเมินว่า คณะกรรมการ FOMC ส่วนใหญ่ อาจมีมติเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน ขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตลาดแรงงานก็ยังคงสดใสอยู่ ทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องเร่งรีบลดดอกเบี้ย ทว่า อาจมีคณะกรรมการ FOMC บางท่าน อาทิ Christopher Waller และ Michelle Bowman ที่อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ โดยอาจให้เหตุผลว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจน ส่วนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจไม่ได้กระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ มากนัก

 

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกรกฎาคม อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว โดย ECB รวมถึงอัตราการเติบโตเศรษฐกิจยูโรโซน ในไตรมาสที่ 2  โดยหลังรับรู้การประชุม ECB ล่าสุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาผู้เล่นในตลาดได้ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB โดยประเมินว่า ECB มีโอกาสราว 68% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้ง ในปีนี้ จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า ECB จะลดดอกเบี้ยได้

 

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ เรามองว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps ได้ในการประชุม BOJ เดือนธันวาคม  หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ยังคงมีแนวโน้มอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2.0% ได้ในระยะกลาง-ยาว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนมิถุนายน ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางความหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและนำไปสู่ข้อตกลงการค้าได้ในที่สุด    

 

ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาวะภาคการผลิตของไทย ผ่านรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ในเดือนมิถุนายน รวมถึง ดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) เดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเป็นอีกข้อมูลที่ช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจอื่นๆ ของไทยได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมถึง การเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ได้ ทั้งนี้ เราหวังว่า การหยุดยิงจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การเจรจายุติความขัดแย้ง เพื่อฟื้นฟูสันติภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

“When the rich wage war it's the poor who die.”

By Jean-Paul Sartre, Le Diable et le Bon Dieu

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท แม้เราคงมุมมองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ แต่เรายอมรับว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด และเงินบาทเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยต้องรอลุ้น ทั้ง ผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งอาจขึ้นกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงได้หรือไม่) รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน อนึ่ง เราประเมินว่า หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ซึ่งจะขึ้นกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภาพดังกล่าวก็อาจยังคงกดดันราคาทองคำต่อ ทำให้เงินบาทอาจขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งไปบ้าง

 

นอกจากนี้ เรามีความกังวลว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก หากสุดท้ายไทยยังไม่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และเผชิญอัตราภาษีนำเข้า 36% ซึ่งอาจเป็นไปได้ หากสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงเกิดขึ้น โดยหากอ้างอิงการอ่อนค่าของเงินบาท หลัง Liberation Day เราประเมินว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงราว 1.2% หรือมีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (หากอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน) ส่วนโซนแนวรับจะยังคงอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์)

 

อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)

 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงผันผวนสูงและจะเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะปรับเปลี่ยนไปตาม รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-33.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์