วันเสาร์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567 17:07 น.

ต่างประเทศ

เผด็จการทหารเมียนมาเอาคืน KNU โจมตีทางอากาศกะเหรี่ยงอพยพเข้าไทย

วันอาทิตย์ ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564, 09.36 น.

เผด็จการทหารเมียนมาเอาคืน KNU โจมตีทางอากาศกะเหรี่ยงอพยพเข้าไทย ขณะที่ จนท.พม่า ยิงชาวบ้านรวมกลุ่มดับไฟไหม้หลัง รพ.ท่าขี้เหล็กดับ 1 ราย    กต.ไทยชี้ยังไม่ถึงจุดประกาศอพยพคนไทยในเมียนมา

วันที่ 28 มีนาคม 2564 แหล่งข่าวจากสมาชิกระดับสูง กองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยงอิสระเคเอ็นยู (KNU) เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 27 มีนาคม 2564 เวลาประมาณ 20.00 น. ทางการเมียนมาได้ส่งเครื่องบินไม่ทราบชนิด ทำการโจมตีฐานที่มั่นกะเหรี่ยงอิสระของกองพลน้อยที่ 5 ที่บ้านเดปู่โน๊ะ เขต อ.มูตรอ จ.ผาปูน รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งอยู่ตรงข้ามพื้นที่บ้านแม่สามแลบ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ทำให้มีราษฎรเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ 2 คน และได้รับบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 20 คน

จากการใช้กำลังทางอากาศดังกล่าว ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ทางกลุ่มกะเหรี่ยงอิสระเคเอ็นยู ได้ตกลงหยุดยิงกับทางการเมียนมา ส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่บ้านหวี่กะโหล่ และหมู่บ้านใกล้เคียง ต้องอพยพหลบหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัยเป็นการชั่วคราว
          
ทั้งนี้ การโจมตีทางอากาศของทหารเมียนมาเกิดขึ้นหลังจากที่กองกำลังกะเหรี่ยงอิสระ KNU สังกัดกองพลน้อยที่ 5 ได้เข้าโจมตีและยึดฐานปฏิบัติการซิหมื่อท่า ของทหารเมียนมา สังกัดกองพันทหารราบที่ 246 เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ชายแดนระอุ! กองกำลัง'KNU'เปิดฉากถล่มฐานที่มั่นพม่า ดักซุ่มโจมตีดับ 3)
          
การสู้รบระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยงอิสระดังกล่าว สร้างความกังวลใจให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทย ที่ประเมินว่าจะมีผู้ลี้ภัยสงครามหนีเข้ามาในไทย ซึ่งก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เวลาประมาณ 14.30 น.ได้มีราษฎรชาวกะเหรี่ยง จากหมู่บ้านแพท่า และหมู่บ้านสะกอท่า 294 คน อพยพหลบหนีเข้ามาในไทย และมาอาศัยอยู่ที่ชายหาดแม่น้ำสาละวิน บริเวณใกล้กับหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน ( ศูนย์สบแงะ ) ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
          
สำหรับผู้อพยพจากหมู่บ้านแพท่า นำโดยนายพะเก่ (ไม่มีชื่อสกุล) เป็นผู้ใหญ่บ้าน มีจำนวน 32 ครอบครัว แยกเป็นชาย 91 คน หญิง 74 คน ส่วนผู้อพยพจากหมู่บ้านสะกอท่า นำโดยนายพะเหน่ (ไม่มีชื่อสกุล) เป็นผู้ใหญ่บ้าน มีจำนวน 22 ครอบครัว แยกเป็นชาย 67 คน หญิง 62 คน
 
จนท.พม่ายิงชาวบ้านรวมกลุ่มดับไฟไหม้หลัง รพ.ท่าขี้เหล็กดับ 1 ราย

กลางดึกคืนที่ผ่านมา(27 มี.ค.64) ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ต้นกล้วยด้านหลังโรงพยาบาลท่าขี้เหล็ก (โรงพยาบาลใหม่) ห่างจากพรมแดนไทยด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประมาณ 2 กิโลเมตร ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นชั่วขณะ เนื่องจากชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงได้พากันเข้าไปดับไฟสกัดการลุกลาม แต่ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่เมียนมากลับระดมพลเข้าปราบปรามแจ้งให้ชาวบ้านสลายตัวและแยกย้ายกันกลับ และเมื่อมีคนพยายามจะเข้าไปดับไฟ เจ้าหน้าที่ได้ใช้ปืนกระสุนยางยิงเข้าใส่ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่ขาอย่างน้อย 1 ราย และส่งผลทำให้ประชาชนวิ่งหลบหนีกลับบ้านกันไป แต่ท้ายที่สุดเพลิงก็ดับลง
          
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ขณะนี้กองทัพภาคสามเหลี่ยมที่มีกองบัญชาการใหญ่อยู่เมืองเชียงตุง ห่างจากท่าขี้เหล็กไปทางเหนือประมาณ 168 กิโลเมตร ได้ส่งกำลังทหารเข้าประจำการในท่าขี้เหล็ก เพื่อสนับสนุนการปราบปรามการชุมนุมของประชาชนชาวเมียนมาที่เคยออกมาเดินประท้วงคัดค้านการรัฐประหารของกองทัพ โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล สาธารณสุข ฯลฯ ตามโรงพยาบาลในท่าขี้เหล็กทั้งของรัฐและเอกชนรวม 3 แห่ง ที่สนับสนุนการชุมนุม จนเหลือเพียงกลุ่มเยาวชนที่ออกมาแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ด้วยการจุดเทียน ถือป้าย ฯลฯ ตามจุดต่างๆ ก่อนถ่ายภาพเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียเท่านั้น
          
และก่อนหน้านี้ทางการท่าขี้เหล็ก ยังได้จับกุมชาย 1 คน พร้อมอุปกรณ์และเศษวัสดุที่จัดทำเป็นวัตถุระเบิดขนาดย่อมได้ โดยวัตถุดังกล่าวได้เกิดปะทุขึ้นก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปถึง ทำให้ชายคนดังกลาวได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอ้างว่าเป็นการประกอบวัตถุเพื่อจะเตรียมนำไปก่อการระหว่างชุมนุมประท้วง ช่วงเดียวกันยังมีการออกติดตามจับกุมกลุ่มเยาวชนเมียนมาที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหารอีกหลายราย และมีการติดตามหาตัวนักข่าวท้องถิ่นในท่าขี้เหล็กจำนวน 4 คน รวมทั้งจับกุมตัวผู้ที่เคยเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อท้องถิ่นดังกล่าวทั้งชายและหญิงอีกหลายรายด้วย
          
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการค้าชายแดนไทย-เมียนมา โดยยังคงมีการขนส่งสินค้าผ่านจุดผ่านแดนถาวรแม่สาย สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 ตามปกติ

กต. ชี้ยังไม่ถึงจุดประกาศอพยพคนไทยในเมียนมา

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการดูแลคนไทยในเมียนมา ในส่วนแผนการอพยพคนไทยออกจากเมียนมาว่า กระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง มีการจัดทำแผนเตรียมความพร้อมช่วยเหลืออพยพคนไทยไว้อยู่แล้ว และมีการประเมินสถานการณ์ทุกวัน โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ร่วมกับ Team Thailand กรุงย่างกุ้ง มีการประชุมหารือสถานการณ์กันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการปรับปรุง ซักซ้อมแผนการอพยพคนไทยมาโดยตลอดให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันและด้วยความรอบคอบรัดกุม
          
นายธานี ระบุว่า ขณะนี้จากการประเมินสถานการณ์ในเมียนมา ยังไม่ถึงระดับที่ต้องเตือนให้มีการอพยพกลับไทย
          
"หากสถานการณ์ยกระดับขึ้นอีก ฝ่ายไทยก็ได้มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้วในทุกขั้นตอน โดยการดำเนินการของฝ่ายไทย สอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ โดยที่ผ่านมามีบางประเทศ ได้แนะนำให้ผู้ที่ไม่มีกิจสำคัญในเมียนมาพิจารณาเดินทางกลับประเทศโดยเครื่องบินพาณิชย์ แต่ยังไม่มีประเทศใดที่มีการแจ้งหรือขอให้อพยพคนชาติตนเองทั้งหมดกลับประเทศแต่อย่างใด" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุ
          
กระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามสถานการณ์และดูแลชาวไทยในเมียนมาที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในเมียนมาและยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศได้มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องและคำนึงถึงสวัสดิภาพของคนไทยในเมียนมาเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีคนไทยในเมียนมาได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ทางการเมือง
          
นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา เมื่อวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2564สถานเอกอัครราชทูตได้ติดต่อสอบถามสถานการณ์และความเป็นอยู่กับชุมชนไทยในเมียนมาอย่างใกล้ชิด และประชาสัมพันธ์ให้คำแนะนำให้คนไทยระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการชุมนุม ตลอดจนรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งกลุ่มไลน์ชุมชนไทยในเมียนมา และเพจเฟซบุ๊คของสถานเอกอัครราชทูตฯ รวมทั้งมีบริการโทรศัพท์หมายเลขฉุกเฉินติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ตลอด 24ชั่วโมง หากมีปัญหาหรือเหตุฉุกเฉิน ตลอดจนการอำนวยความสะดวกคนไทยในการเดินทางกลับประเทศไทย ทั้งทางบกและทางอากาศ
          
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศขอยืนยันว่า การให้ความช่วยเหลือ ดูแลสวัสดิภาพของคนไทยในเมียนมา รวมถึงในทุกประเทศทั่วโลก เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุด และกระทรวงฯ ไม่เคยนิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าว โดยข้าราชการของกระทรวงฯ ทุกคน ที่ทำหน้าที่ในต่างประเทศ ตระหนักดีถึงหน้าที่นี้และดำเนินการอย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด