เมื่อวันที่ 2  มิถุนายน 2568  สมเด็จฮุน เซน ออกแถลงการณ์เตือนให้ใช้ศาลโลก แก้ข้อพิพาทเขตแดนกัมพูชาและไทย ก่อนสถานการณ์บานปลายคล้ายความขัดแย้งในฉนวนกาซา ประกาศเลิก MOU 43

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมาธิการวุฒิสภาและสภาแห่งชาติกัมพูชาในช่วงเช้าวันนี้ โดยสมเด็จฮุน เซน กล่าวว่า การที่กัมพูชาได้เชิญไทยให้เข้าร่วมเป็นภาคีในการยื่นเรื่องต่อ ICJ นั้น เป็นการดำเนินการอย่างสุภาพและมุ่งหวังให้ทั้งสองประเทศใช้แนวทางทางการทูตในการแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว

“หากฝ่ายไทยยังคงหลีกเลี่ยงแนวทางนี้ ก็สะท้อนว่ามีบางสิ่งบางอย่างแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง” สมเด็จฮุน เซน กล่าว

ทั้งนี้ ฮุน เซน ยังได้กล่าวถึงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ทั้งสองประเทศได้ลงนามร่วมกันเมื่อปี พ.ศ. 2543 ว่าในปัจจุบันไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกต่อไป เนื่องจากตลอดเวลา 25 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขข้อพิพาท พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ได้เกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนจนเป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต

“หากเราไม่ปล่อยให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ปัญหานี้จะเหมือนฉนวนกาซา ไม่มีวันจบสิ้น ทั้งการสู้รบเล็กหรือใหญ่จะเกิดขึ้นซ้ำๆ แล้วเหตุใดเราจึงต้องหวั่นเกรงต่อการขึ้นศาล หากเราบริสุทธิ์ใจ?” สมเด็จฮุน เซน กล่าว

ฮุน เซน ยังย้ำว่ากัมพูชาไม่มีความประสงค์จะล่วงล้ำดินแดนของประเทศอื่น และเพียงต้องการรักษาเขตแดนที่ได้รับการสืบทอดจากยุคอาณานิคมฝรั่งเศสและดำรงไว้ในรัชสมัยของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ “สิ่งที่เรามีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เราจึงต้องปกป้องมันไว้” ท่านกล่าวเสริม

ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมาธิการร่วมของสภาแห่งชาติและวุฒิสภาได้มีมติเป็นเอกฉันท์สนับสนุนแนวทางของรัฐบาลในการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาลโลก

ด้านสมเด็จฮุน เซน ยังระบุว่า หากเกิดความรุนแรงขึ้น กัมพูชาจะยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อขอให้แทรกแซงในทันที

ในขณะเดียวกัน สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้แถลงย้ำเจตนารมณ์ของรัฐบาลว่า จะดำเนินการนำข้อพิพาทดังกล่าวเข้าสู่ ICJ ไม่ว่าฝ่ายไทยจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยแม้จะยังคงมีการเจรจาผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) อยู่ แต่ท่านขอให้ทั้งนักการเมืองและประชาชนกัมพูชาร่วมกันสนับสนุนกองทัพ