การตลาด
ไทยลีฟ ย้ำแผนเดินหน้าธุรกิจ หลังมติทบทวน “พ.ร.บ. กัญชง กัญชา” พร้อมเปิดจุดยืนผลิตเพื่อการแพทย์ พร้อมเดินเครื่องพัฒนาโปรดักส์ตามแผน
วันศุกร์ ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2565, 15.32 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตผลิตภัณฑ์และสกัดสาร CBD จากกัญชงอย่างครบวงจรของประเทศไทย มั่นใจเดินหน้าธุรกิจกัญชงตามแผนธุรกิจ 5 ปี (2565-2570) แม้มติสภา ประกาศทบทวนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง นอกจากนี้ยังแสดงจุดยืนการทำธุรกิจด้านกัญชงเพื่อพัฒนาวงการเฮลธ์แคร์ และเดินหน้าธุรกิจตามแผนในไตรมาส 4 ปี 2565 อาทิ การพัฒนาโรงงาน ความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์และอาหาร

นายยิ่งยศ จารุบุษปายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด เผยว่า จากกรณี มติสภาที่ให้มีการทบทวนร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เนื่องจากร่างกฎหมายยังพบช่องโหว่ทั้งด้านการควบคุมดูแลที่ยังไม่ชัดเจน ไม่รัดกุม รวมถึงมีความกังวลต่อประชาชนที่ปัจจุบันมีการนำกัญชามาใช้ด้านสันทนาการ ซึ่งหลังจากนี้จะมีกระบวนการพิจารณาแก้ไขร่าง พ.ร.บ. เข้าสภาเพื่อนำเสนอใหม่ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาภายใน 9 เดือน ถึง 1 ปี โดยไทยลีฟ - พาร์ทเนอร์ทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย ยังคงเดินหน้าธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งแผนระยะสั้น 1 ปี 3 ปี ตลอดจนแผนธุรกิจระยะยาว 5 ปี (2565-2570) ต่อไปตามเป้าหมาย 100 เปอร์เซ็น
“เมื่อพิจารณาสถานการณ์โดยรวมหลังจากมีการประกาศให้ทบทวนร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง พบว่า สิ่งที่กระทบเป็นอันดับแรกอาจไม่ใช่ด้านธุรกิจ แต่กลับเป็นด้านจิตวิทยาของภาคประชาชนผู้รับสาร เพราะประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจว่าแนวทางในลำดับถัดไปจะมีหรือไม่ หรือเป็นอย่างไร รวมถึงจะมีผลกระทบต่อหลายภาคส่วนหรือไม่ ขณะเดียวกันในฝั่งผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่มีการลงทุนไปแล้ว เช่น การปลูก หรืออื่นๆ เพื่อใช้ทางสันทนาการ ก็ย่อมมีผลกระทบแน่นอน แต่สำหรับบริษัทหรือผู้ประกอบการธุรกิจรายใหญ่ที่มีการนำกัญชา กัญชงไปใช้เพื่อทางการแพทย์ ไม่ได้ใช้เพื่อสันทนาการ ซึ่ง ไทยลีฟ เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลังจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก”
นายยิ่งยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ไทยลีฟยังเดินหน้าธุรกิจตามแผน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่คู่ค้า รวมถึงประชาชน ซึ่งจะเป็นผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ของไทยลีฟในอนาคต โดยมี 3 กลุ่มที่สำคัญ ดังนี้ การเดินหน้าต่อในด้านความร่วมมือ โดยที่ผ่านมา ไทยลีฟ ขยายความร่วมมือกับ 2 ผู้นำธุรกิจชั้นนำในเครือสหพัฒน์ เสริมแกร่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม เวชสำอาง ได้แก่ บริษัท โอสถ อินเตอร์ แลบบอราทอรีส์ จำกัด หรือ OSI และบริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ S&J และการพัฒนากลุ่มอาหาร ร่วมกับบริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งหลังจากนี้จะมีการประสานความร่วมมือกับเครือโรงพยาบาลบางกลุ่ม รองรับแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มยาในอนาคต การเดินหน้าต่อด้านผลิตภัณฑ์ ขณะนี้ไทยลีฟ ได้ทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมตัวนำสายพันธุ์กัญชงมาทดสอบ และทดลองปลูกจริงในประเทศไทย โดยหลังจากเริ่มปลูก และตรวจสอบศักยภาพตามมาตรฐานที่ต้องการแล้ว ไทยลีฟจะดำเนินการลงทะเบียนจดสิทธิบัตร ขึ้นเป็นสายพันธุ์กัญชงสัญชาติไทย และนำเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไปขายให้แก่เกษตรกรในราคาที่ย่อมเยาว์ คาดว่าจะได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในช่วงปลายปี 2566 และ การสร้างความพร้อมธุรกิจ ปัจจุบันโรงงานกัญชงของไทยลีฟ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอองครักษ์ คลอง 16 จ.นครนายก ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 80% จากพื้นที่ประมาณ 150 ไร่ โดยเฟสแรกจะดำเนินการเฉพาะ 50 ไร่ก่อน ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน 2565 ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนประสานงานกับองค์การอาหารและยา (อย.) ในการเข้าไปตรวจสอบโรงงานสกัดสาร CBD จากกัญชง ที่สร้างขึ้นตามมาตรฐาน GMP Pic/s (Pharmaceutical) ซึ่งการวางระบบน้ำ ระบบไฟ และระบบต่างๆ เทียบเท่ากับโรงงานผลิตยา
นายยิ่งยศ กล่าวเสริมว่า การใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และการคัดสรรทุกสิ่งอย่างด้วยมาตรฐานที่ดีที่สุดเป็นสิ่งที่ไทยลีฟให้ความสำคัญ อาทิ เครื่องสกัดสาร CBD จากกัญชง จะเป็นเครื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งไทยลีฟนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา สามารถสกัดสารที่มีคุณภาพได้มากที่สุดและได้สารสกัดที่สะอาดสูงสุด ซึ่งกระบวนการสกัดสาร CDB จากกัญชงเพื่อให้ค่าสารที่สูง ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและทีมผู้เชี่ยวชาญจากแคนาดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์อย่าง มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) ที่เชี่ยวชาญด้านการเพาะ สกัดกัญชง และบริษัท คานาร์ฟามา อินเวสต์เมนต์ส จำกัด (Cannapharma Investments Inc.) บริษัทการลงทุนจากแคนาดา ที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจกัญชาทางการแพทย์ เทคโนโลยีการเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพระดับโลก รวมถึงคนคิดค้นสูตรกัญชงโดยเฉพาะ เดินทางมาที่ไทยเพื่อทำงานร่วมกันในการดูระบบการปลูก การสกัดสาร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัด CBD จากกัญชง

นอกจากนี้ การร่วมกันทำงานระหว่างทีมงานชาวต่างชาติและชาวไทยจะเกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ (Know-How Transfer) ซึ่งทีมไทยลีฟชาวไทยมาจากหลายแขนง เช่น เภสัชกร นักวิทยาศาสตร์ ดูแลงานส่วนในห้องแลป เกษตรกรดูแลส่วนแปลงปลูก หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องจักรก็เป็นวิศวกรไทย เป็นต้น แน่นอนว่าการพัฒนาธุรกิจให้เดินไปข้างหน้าได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกันทุกส่วน ในฐานะผู้บริหารไทยลีฟ ย่อมต้องมีการขยายองค์ความรู้และสนับสนุนทีมงานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัญชง งานวิจัย และการใช้เทคโนโลยี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะตอบโจทย์เป้าหมายของไทยลีฟ ในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค เพื่อผู้บริโภคจะต้องได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่สกัดสาร CBD จากกัญชงอย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์มากที่สุด
“การทบทวนร่างกฎหมายใหม่นั้น หากภาครัฐร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การแพทย์ การโภชนาการ ในการขยายคุณและโทษ รวมทั้งแยกความแตกต่างระหว่างกัญชากับกัญชงออกจากกันอย่างชัดเจน เนื่องจากกัญชงมีสรรพประโยชน์ สามารถไปปรับใช้จัดทำเป็นผลิตภัณฑ์ในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะวงการสุขภาพและวงการแพทย์เช่นต่างประเทศที่ได้มีการศึกษาวิจัยและดำเนินการทำไปแล้ว คาดว่าจะเป็นนิมิตหมายอันดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้ในเร็วๆ นี้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง จะยังไม่ผ่านกระบวนการอนุมัติอย่างสมบูรณ์ แต่กฏหมายลูกหรือที่เรียกว่าประกาศกระทรวง ยังคงมีผลใช้ได้อยู่”
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การตลาด
ข่าวในหมวดการตลาด ![]()
“Cocolove (โคโคเลิฟ)” เขย่าตลาดเพื่อคนรักสุขภาพครั้งใหญ่ เปิดตัวแคมเปญ Love yourself , Drink for your health 13:23 น.
- เดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดโปรสุดคุ้มแห่งปี “BANGKOK BANK M VISA SHOPVENTURE” 09:04 น.
- แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จับมือ BeDee by BDMS และ Health Plaza 21:48 น.
- KEX ย้ำชัด! ไม่ปิดกิจการ ยืนยันเดินหน้าธุรกิจตามปกติ 20:47 น.
- ชวนต้อนรับเปิดเทอมสุดคุ้มกับแคมเปญ “Back to School: Joyful for the playful” 17:10 น.