วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน 2564  ดร.ณพลเดช มณีลังกา ว่าที่ผู้สมัคร สก.เขตสัมพันธวงศ์ พรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ตามที่ตนได้ประสานสุ่มตรวจโควิด-19 ชนิด ATK ตั้งแต่วันที่ 15-19 ก.ย.2564 จำนวน 510 คน ที่วัดกันมาตุยาราม ปรากฏว่าพบมีผู้ติดเชื้อโควิดเพียง 5 คน คิดอัตราเป็น 0.98% ของผู้ติดเชื้อในโครงการ ถ.เยาวราช ปลอดโควิด 100% สู่เทศกาลกินเจ  โดยกิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมเพื่อจูงใจให้ประชาชนเร่งตรวจเชื้อโควิดโดยมีเงื่อนไขว่า หากร้านใดที่ตรวจเชื้อให้กับพนักงานและเจ้าหน้าที่ครบและมีการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มจะได้ธงสัญลักษณ์ปลอดโควิดติดที่หน้าร้าน ส่งผลให้ประชาชนดูแลตัวเองดีขึ้นมีการสวมแมสพ่นสเปรย์ ตื่นตัวในการรับวัคซีน ตนต้องขอขอบคุณสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ ที่รับลูกโดยมอบป้ายห้อยคอสำหรับผู้ที่ผ่านการตรวจเชื้อจากโครงการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับร้านค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของ

ดร.ณพลเดช กล่าวต่อไปว่า หลังจากที่เสร็จสิ้นกิจกรรมโครงการแล้ว ตนได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจความมั่นใจของประชาชนและร้านค้าในพื้นที่เยาวราช และเขตสัมพันธวงศ์ ปรากฏว่าประชาชนมีความมั่นใจในการจับจ่ายซื้อของมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้ในตลาดสำเพ็ง รวมถึงตลาดคลองถม ตลาดสะพานเหล็ก ที่เป็นพื้นที่รอบข้างมีการซื้อขายที่คึกคักเช่นกัน ตนเห็นว่าหากภาครัฐโดยเฉพาะ กทม. รวมถึงกระทรวงท่องเที่ยวฯเร่งผลักดันให้พื้นที่ปลอดภัย โดยมีการจัดการแบบ Function Approach แบบอังกฤษและญี่ปุ่น จะสามารถดำเนินการป้องกันโควิดคู่กับเปิดช่องทางค้าขายได้ดีขึ้น การค้าจะฟื้นตัว จากภาพรวมตลาดขนมไหว้พระจันทร์ในปี 2559 มีการขายอยู่ที่ราว 3-4 ล้านชิ้น และมีเงินสะพัดกว่า 900 ล้านบาท 

"สำหรับปีนี้วันไหว้พระจันทร์ จะตรงกับวันที่ 21 ต.ค. 64 นี้ หากภาครัฐวางมาตรการให้ดีประชาชนมีความมั่นใจในการใช้เงิน ตนคาดว่าจะสามารถทำให้มีเม็ดเงินจากตลาดขนมไหว้พระจันทร์ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ทั้งนี้หากวางมาตรการต่อเนื่องและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน จะส่งผลต่อเทศกาลกินเจ ซึ่งตรงกับวันที่ 6 - 14 ตุลาคม 2564 ที่จะถึงนี้ จากภาพรวมเทศกาลกินเจเมื่อปี 2557 มียอดสะพัดถึง 51,270 ล้านบาท ทั้งนี้ตนเห็นว่าหากรัฐบาลมีมาตรฐานการคัดกรอง มาตรฐานการจัดกิจกรรมที่ปลอดภัย ตนคาดว่าเงินสะพัดในเทศกาลกินเจจากความอั้นของประชาชนในวิกฤตโควิด19 อาจสามารถทำให้เม็ดเงินสะพัดได้ถึง 20,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะฟื้นตัว จะส่งผลต่อธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ เช่น ทองคำ ค้าปลีกในย่านสำเพ็ง อุปกรณ์ไฟฟ้าในย่านคลองถม ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินหมุนอยู่ในระบบอีกหลายรอบ จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีพอสมควรในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองนี้" ดร.ณพลเดช กล่าว