วันพฤหัสบดี ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568 00:11 น.

การเมือง

“สามารถ” ค้านออกกฎหมายลดโทษคดีทุจริตฉ้อโกงประชาขน

วันจันทร์ ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2564, 21.45 น.

“สามารถ” ค้านออกกฎหมายลดโทษคดีทุจริตฉ้อโกง จี้รัฐบาล​ตั้งกองบัญชาการ​ปราบแชร์ลูกโซ่ตามยึดทรัพย์คืนประชาชนผู้เสียหาย​นับล้านคน พร้อมยกย่อง “ป้าทองศรี” สู้คดีในฐานะผู้เสียหายจนตายไปแล้วแต่ยังไม่ได้เงินคืน ลั่นขอเป็นตัวแทนประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโ.ซ่จนถึงที่สุด

นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ​ประธาน​สมาพันธ์​ต่อ​ต้าน​แชร์​ลูกโซ่​แห่ง​ประเทศไ​ทย​ได้โพสต์ Facebook ส่วนตัวชื่อ "สามารถ เจนชัยจิตรวนิช" ว่าผมได้เห็นข่าวที่พี่น้องประชาชนตลอดจนนักการเมือง จำนวนหนึ่งออกมาเรียกร้องให้มีการลดโทษของคดีทุจริตจำนำข้าวว่าไม่ยุติธรรมกลับกลายเป็นการสนับสนุนให้มีการทุจริตคดโกงมากขึ้น ผมจึงอยากให้พี่น้องประชาชนมองกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบในปัจจุบันนี้ การพิจารณาคดีกับนักการเมืองที่ทุจริตคดโกง เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากการผลพิจารณาตัดสินลงโทษอดีตรัฐมนตรีที่กระทำความผิด ไปแล้วหลายท่าน

ผมจึงขอหยิบยกงานวิจัยในต่างประเทศ ที่มีผลวิจัยออกมาว่า หากประชาชนในประเทศ มองเห็นการทุจริตคดโกงเป็นเรื่องปกติ ประเทศนั้นก็จะเกิดปัญหาทุจริตคอรัปชั่นตามมา เริ่มตั้งแต่การซื้อสิทธิซื้อเสียง ทั้งที่มีการรณรงค์ต่อต้านการซื้อเสียงมาโดยตลอด ผมเห็นมาตั้งแต่ผมเด็กๆจนทุกวันนี้​ก็แก้ไม่ได้ ล่าสุด​ มีส.ว.ท่านนึงบอกว่าการเลือกตั้ง​การเมืองท้องถิ่น​ซื้อถึงหัวละหมื่นบาท​

ถือว่าเป็นปัญหาเรื้อรังในสังคมอีกปัญหาหนึ่งที่พวกเราไม่ควรมองข้าม ก็​คือ ปัญหาการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งอุบัติขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ปี​พ.ศ.2520 หรือที่รู้จักกันในนามแชร์แม่ชม้อย จนถึงทุกวันนี้การฉ้อโกงประชาชนเป็นปัญหาระดับชาติที่ยังแก้ไขไม่ได้มาตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน และทุกวันนี้มีพี่น้องประชาชนถูกหลอกลวงไปแล้วหลายล้านคน แต่ผมยังไม่เห็นหน่วยงาน​รัฐหน่วยไหนอาสาลงไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ถูกหลอก ถูกคดโกงอย่างเป็นรูปธรรม ประชาชนจึงต้องแบกรับปัญหาตามลำพัง ตั้งแต่การรวบรวมหลักฐานเพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดี การติดตามทรัพย์ที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน เช่นกรณีแชร์บลิสเชอร์ซึ่งเกิดขึ้นในปี​พ.ศ.2534 แล้วมาจับในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี​ พ.ศ.2537  คดีดังกล่าวใช้เวลาพิจารณาตัดสินคดี ในปี พ.ศ.2558 หรือเกือบ 21 ปี 

ย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณช่วงปี 2534 ได้มีกลุ่มธุรกิจกลุ่มหนึ่ง ชื่อ “บลิสเชอร์” และระบุว่าทำธุรกิจจัดสรรวันพักผ่อน หรือไทม์แชริ่ง โดยเปิดรับสมาชิกจำนวนมาก ผู้สมัครในชั้นแรกจะต้องจ่ายเงินจำนวน 30,000 บาท และจะมีสิทธิ์เข้าพักในโรงแรมต่างๆเป็นเวลา 4 วัน 4 คืนต่อปีนาน 20 ปี ที่น่าสนใจก็คือ หากผู้สมัครจัดหาสมาชิกเข้าร่วมโครงการจะได้ค่าตอบแทนอีก 20 % และหากสามารถจัดหาผู้สมัครรายอื่นเพิ่มเติมก็จะได้ค่าตอบแทนอีก 20 % โดยที่ผู้สมัครที่ให้การแนะนำเป็นคนแรกก็จะได้ค่าตอบแทนเช่นกันลดหลั่นกันไป สื่อมวลชนในยุคนั้นให้ความสนใจอย่างมากที่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทดังกล่าว และเริ่มนำเสนอข่าวของธุรกิจไทม์แชริ่งพันธุ์ใหม่ เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2535

เนื่องจากผู้ชักชวนมักจะกระตุ้นอยู่เสมอๆว่า หากหาสมาชิก เพิ่มได้อย่างน้อย 4-5 คน ก็จะคุ้มทุน 30,000 บาทที่เสียไปแล้ว แต่ถ้าหาสมาชิกได้จำนวนมากกว่านี้ รายได้จากเปอร์เซ็นต์ก็จะพอกพูนขึ้นตามจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของสื่อ ความจริงที่ปรากฏก็คือการชักชวนชาวไร่ชาวสวนจากต่างจังหวัดเพื่อให้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิก ด้วยการใช้รายได้จำนวนมหาศาลในการจูงใจ บางครั้งมีการนำเช็กที่สมาชิกบางคนได้รับมาโชว์ให้กับ “เหยื่อ” ที่กำลังสนใจได้ชมเป็นขวัญตาว่าหากทำได้จะได้รับผลตอบแทนเป็นเงิน 5 หลัก 6 หลักเลยทีเดียว ขณะที่การต้อนคนจากพื้นที่ต่างๆ เพื่อเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกยังดำเนินต่อไป แต่อีกฟากหนึ่งก็เริ่มมีเสียงร้องเรียนจากคนที่เข้าไปสมัครเป็นสมาชิกแล้วไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่บลิสเชอร์กล่าวอ้าง จากนั้นหนังสือพิมพ์หลายๆฉบับก็เริ่มนำเสนอข่าวนี้เป็นระยะๆ 

ขณะที่กระทรวงการคลังที่ประกอบด้วยคณะกรรมการ ป้องปรามธุรกิจเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ (สศก.) ได้มีการจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ การเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ของบลิสเชอร์ มีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อกระทรวงการคลังได้ประกาศแถลงการณ์ให้ประชาชนระวังในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกหรือร่วมลงทุนในธุรกิจใด เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2536 เมื่อมีข่าวคราวออกไปดังกล่าวทำให้ประชาชนเริ่มระวังตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้การดำเนินการของบลิสเชอร์สะดุดตามไปด้วย ซึ่งบลิสเชอร์ก็พยายามแก้เกมด้วยการใช้วิธีการโฆษณาผ่าน สื่อต่างๆ และยังชักชวนให้คนที่สนใจสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกและพร้อมจะจ่ายผลตอบแทนให้ในอัตราที่สูง​ สุดท้าย​คดีนี้ผู้ต้องหา​หลบหนีออกนอกประเทศ​  ไม่มีใครติดคุก​  เงินจะคืนผู้เสียหาย​ก็ไม่ได้คืน..

สิ่งเหล่านี้คือ ความยุติธรรมแล้วหรือ​ ?

ผมจึงอยากจะพูดให้เห็นว่า ปัญหาแชร์ลูกโซ่ยังอยู่ในมุมมืดที่ต้องได้รับการแก้ไข หากพิจารณาในเรื่องการอภัยโทษ หรือลดโทษในคดีฉ้อโกงประชาชน ซึ่งขอหยิบยก กรณีแชร์แม่ชม้อยถูกศาลสั่งจำคุก 1.5 แสนปี แต่ติดคุกจริงเพียง 7 ปี 11 เดือน 5 วัน​ ลดเยอะ​กว่าคดีอื่นๆทุกคดี​ ดังนั้นหากจะกล่าวถึง การขออภัยโทษในคดีทุจริตจำนำข้าว ควรหันมามองปัญหาแชร์ลูกโซ่ด้วยว่าทุกวันนี้มีการตั้งหน่วยงานที่จะมารับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนแล้วหรือยัง มีการปฏิรูปแก้กฎหมาย

แล้วหรือไม่ มีกองทุนที่จะติดตามเอาทรัพย์สินที่ยึดมาแล้วมาเฉลี่ยคืนให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนแล้วหรือยัง ทั้งที่ในต่างประเทศเช่นประเทศจีนได้แก้ปัญหาแชร์ลูกโซ่อย่างเป็นระบบและในฐานะที่ผมทำหน้าที่ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทยจึงต้องการสื่อสารให้พี่น้องประชาชนคนไทยอีกหลายล้านคนที่เดือดร้อนในเรื่องนี้ว่า จะแก้การโกง​ ต้องให้ประชาชนคนในชาติไม่ถูกโกงก่อน​ วัน​นี้ผมขอเขียนไว้อาลัย​ ให้กับคุณป้า​คนนึงที่เป็นผู้เสียหาย​คดีมันญี่ปุ่น​ คุณ​ป้าทองศรี​ ด่านใหม่​  คุณป้า​สู้ในการติดตามคดีตั้งแต่โดนโกง​ จนคดีนี้ศาลชั้นต้น​ตัดสินลงโทษคนโกงกับพวกไปแล้ว​ ตอนนี้​อยู่​ที่ศาลอุทธรณ์​ เนื่องจาก​จำเลยต่อสู้คดี.. คดียังไม่ถึงที่สุดก็ติดตามทรัพย์สิน​มาไม่ได้​ ตามประมวลกฏหมาย​อาญา​ ที่จะต้องคืนทรัพย์สิน​ต้อง​ให้​ศาลเป็น​ผู้​สั่ง​ แต่แล้วคุณ​ป้าทองศรี​ ก็ยังไม่ได้เงินคืน​ และ​ เสียชีวิต​ไปในที่สุด

ไม่ใช่คุณป้าทองศรี​  ที่ตายไปแล้วแต่ยังมีผู้เสียหาย​จากแชร์​ลูกโซ่​จำนวนมากที่เสียชีวิตแล้วยังไม่ได้เงินคืน​  ไม่ว่าจะเป็นแชร์​ตู้คอนเทนเนอร์​ แชร์​ตะเกียงน้ำ​มัน​หอมระเหย... ก็ล้วนมีคนเสียชีวิตไปแล้ว

ผมว่าถึงเวลาแล้วที่ รัฐบาล​ต้อง​ สังคายนากฏหมายการปราบปรามการฉ้อโกงประชาชน​ ต้องจัดตั้งกองบัญชาการ​ปราบปราม​การฉ้อโกงประชาชน​ขึ้นมาทำหน้าที่​ตรวจสอบจับกุม​ ขึ้นทะเบียน​ ยึดทรัพย์​ มาคืนให้​กับประชาชนผู้เสียหาย​

ไม่อย่างนั่น  เรือนจำก็ไม่อาจได้ปรับเปลี่ยน​นิสัยของผู้กระทำผิด​ เพราะในอดีตมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว​ คดีแชร์​ชาร์เตอร์​ หลบหนีจนหมดอายุความ​ คดีแชร์​บลิสเชอร์​  ไม่ติดคุกเพราะประกันตัว​ แล้วหลบหนีชั้นฏีกา

วันนี้​คดีโอดีแคปิตอล​ ผู้ต้องหา​ต่างชาติหลบหนี​  คนไทยประกันตัว​ ผันตัวมาหลอกลงทุนรูปแบบอื่นต่ออีก เรื่องแบบนี้​ มันสาหัสกว่าจำนำข้าวมั้ย..ขอฝากสังคมช่วยกันด้วยนะครับ อย่างน้อยผมก็ขอพูดแทนผู้เสียหาย​นับล้านคนที่ไม่มีทางออก​ และไม่กล้าแสดงตัว​ แต่ทุกวันได้แต่ทนทุกข์​ทรมาน

ท้ายสุดนี้ผมขอไว้อาลัยให้คุณป้าทองศรี​ ด่านใหม่​ หลับให้สบาย​ ผมจะเป็นตัวแทนสู้ไปให้ถึงที่สุดครับ

หน้าแรก » การเมือง